พระราชวังแวร์ซาย
ย้อนกลับไปในปี 1624 สถานที่พำนักสำหรับล่าสัตว์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อตั้งพระราชวังแวร์ซาย ซึ่งต่อมาในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ได้มีการริเริ่มพัฒนาวังล่าสัตว์แห่งนี้ให้กลายเป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในยุโรป และยังคงมีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบัน ปราสาทแห่งนี้คือ พระราชวังแวร์ซายนั่นเอง ในมุมมองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นปราสาทแห่งนี้มิได้เป็นเพียงพระราชวังเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เนื่องมาจากปราสาทแห่งนี้เป็นเครื่องมือที่แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งและอำนาจของราชวงศ์ฝรั่งเศสในสมัยนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มักจะเชื้อเชิญเหล่าราชการและขุนนางมาที่พระราชวังแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง นอกจากสมาชิกของราชวงศ์จะอาศัยอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้แล้ว ยังมีบริวารอีกจำนวนนับหมื่นคนเคยอาศัยอยู่ที่พระราชวังสุดหรูหราแห่งนี้
หลังจากเหตุการณืปฏิวัติครั้งใหญ่ในปี 1789 รูปภาพต่างๆที่ใช้ตกแต่งพระราชวังได้รับการจัดส่งเพื่อเก็บรักษาไว้ที่พิพิภัณฑ์ลูฟว์ เฟอร์นิเจอร์บางส่วนได้รับการประมูล ภาพด้านบนที่เห็นอยู่นี้เป็นภาพของกำแพงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของระบอบกษัตริย์ กำเเพงนี้เคยถูกทำลายในช่วงปฏิวัติด้วยฝีมือของประชาชน พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อ็องตัวแน็ตถูกประหารด้วยเครื่องมือที่เรียกว่ากิลโยติน (Guillotine) ต่อหน้าสาธารณะชน การประหารในครั้งนั้นทำให้พระราชวังปราศจากเจ้าของอยู่ชั่วคราว
รูปปั้นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของพระราชวัง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นับได้ว่าเป็นกษัตริย์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฝรั่งเศสก็ว่าได้ การปกครองในยุคของพระองค์นั้นเป็นการปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การแบ่งสัดส่วนที่พักภายในพระราชวังนั้นเป็นไปตามตำแหน่ง หรือความพึงพอใจนั่นเอง ว่ากันว่าถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูหรูหรา แต่ชีวิตความเป็นอยู่ภายในนั้นก็เต็มไปด้วยความกดดันสำหรับเหล่าขุนนางและบริวารทั้งหลาย
ในช่วงปลายรัชกาลของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระองค์ได้วางแผนให้ห้องบรรทมของพระองค์นั้นตั้งอยู่ที่ส่วนกลางของพระราชวังเพื่อให้สามารถควบคุมและดูแลพระราชวังได้อย่างทั่วถึง
Galerie des Glaces หรือห้องกระจกเป็นห้องที่ได้รับความชื่นชมอย่างมากจากผู้มาเยือน พิธีการต่างๆมากมายในอดีตล้วนเกิดขึ้นที่ห้องนี้ และด้วยความงดงามของการตกแต่ง ห้องกระจกแห่งนี้ยังกลายเป็นต้นแบบของการออกแบบสถานที่ต่างๆมากมายทั่วโลก
ส่วนของห้องสวดมนต์หรือโบสถ์ภายในพระราชวังถือได้ว่าเป็นต้นแบบที่งดงามของสถาปัตยกรรมบาโรคของฝรั่งเศสและการตกแต่งสถานที่สำคัญทางศาสนาที่งดงามตามขนบ
หลังจากการปฏวัติ นโปเลียนก็ได้มีคำสั่งให้ Louis Philippe เปลี่ยนแปลงพื้นที่ส่วนหนึ่งของพระราชวังเป็น War Gallery ซึ่งเป็นที่ที่เต็มไปด้วยภาพวาดซึ่งเกี่ยงกับสงครามตั้งแต่สงคราม Tolbiac ในปี 496 มาจนถึงชัยชนะของนโปเลียนในปี 1810
สวนรอบบริเวณพระราชวังแวร์ซายเป็นต้นแบบของสวนสไตล์ฝรั่งเศส สวนแห่งนี้ออกแบบโดย André Le Nôtre นอกจากพันธุ์ไม้นานาชนิดแล้วยังมีการตกแต่งบริเวณพื้นที่ด้วยน้ำพุหลากสี หากเดินต่อไปเรื่อยๆก็จะได้พบกับคลองซึ่งพระเจ้าหลุยส์เคยใช้เวลาว่างกับเรือกอนโดลาจากเวนิซ ซึ่งหากใครที่สนใจก็สามารถเช่าเรือเล็กๆเพื่อสัมผัสบรรยากาศการพายเรือเล่นได้ โดยราคานั้นอยู่ที่ 13 ยูโรสำหรับ 30 นาทีและ 17 สำหรับ 1 ชั่วโมง
การเดินรอบพระราชวังและบริเวณสวนนั้นต้องบอกว่าเหนื่อยเอาการ ดังนั้นหากต้องการประหยัดเวลาและพลังงงานก็สามารถใช้บริการของรถไฟซึ่งเป็นบริการจากแวร์ซาย รถไฟเล็กนี้จะพาคุณนั่งจากบริเวณคลองไปจนถึง Trianon ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 5.9 ยูโร
Grand Trianon เป็นพื้นที่ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระราชทานให้กับ มาดาม Marduau Monsar Grand Trianon เป็นตำหนักที่อาจจะไม่ได้ตกแต่งหรูหราเหมือนกับตัวพระราชวังแวร์ซายแต่ก็นับว่ามีความสวยงามตามแบบฉบับที่คุณผู้หญิงจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน
Petit Trianon เป็นตำหนักที่ได้รับการสร้างขึ้นเพื่อมาดาม Pompadour ในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และต่อมาในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ตำหนักนี้ก็ได้กลายมาเป็นที่พำนักของพระนางมารี อองตัวเเนตต์ การตกแต่งภายในเน้นไปที่ความอบอุ่น ซึ่งต่างจากภาพลักษณ์ของพระนางที่เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา
เวลาทำการ : วันอังคาร - วันอาทิตย์ 9: 00-18: 30 / ปิดทุกวันจันทร์และวันที่ 1 พฤษภาคม
ค่าใช้จ่าย: ผู้ใหญ๋ 18 ยูโร (เฉพาะพระราชวัง) และตั๋วราคา 20-27 ยูโร ( สำหรับเข้าชมพระราชวัง สวน และ Trianon)
เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ 8:00-20:30 / อาจปิดทำการในวันที่ฝนตกหนัก
หากต้องการแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับช่วงเวลาดีที่พระราชวังแวร์ซาย เข้าไปติดตามเราได้ที่
Facebook : Obonparis.th
Instagram - obonparis
เรื่อง : Han Jae Un
แปล : Supawadee Pinkhao