ในบทความวันนี้ เรามาแบ่งประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองอาแฌ็ง (Agen) เมืองเงียบๆในแคว้นนูเวล อะกิแต็ง (Nouvelle-Aquitaine)ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส เมืองนี้อาจจะไม่ใช่เมืองที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน แต่เราเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ควรค่าต่อการไปเยี่ยมชมสักครั้ง
เมืองอาแฌ็งตั้งอยู่ระหว่างเมืองบอร์โดและเมืองตูลูส ถ้าเดินทางจากกรุงปารีสโดยรถไฟความเร็วสูงก็ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น มีหลายเหตุดีๆที่อธิบายว่าทำไมเราควรมาเที่ยวที่เมืองนี้ ถึงแม้ว่าเมืองนี้จะไม่ใช้สถานที่ยอดนิยมสำหรับนักเที่ยวต่างชาติก็ตาม การเดินทางมาที่เมืองอาแฌ็งเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้ทำความรู้จักกับเมืองของฝรั่งเศสแบบแท้ๆ ไม่ใช่ว่าปารีสไม่ดี แต่ทว่าฝรั่งเศสประกอบด้วยเมืองเล็กๆ ที่รวมกันจนเกิดวิถีแบบฝรั่งเศส หากอยากเข้าใจจิตวิญญาณ วัฒนธรรม วิถีชีวิตแบบฝรั่งเศสจริงๆก็ควรที่จะลองมาดูที่เมืองเล็กๆในเขตชนบทดูบ้างและเมืองอาแฌ็ง (Agen) ก็เป็นตัวเลือกที่เราอยากแนะนำ
ถ้าจะพูดว่าอาแฌ็งเป็นประตูสู่เมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสไม่ว่าคุณจะเดินทางด้วยรถยนต์หรือจักรยาน เมืองชนบทนี้เป็ส่วนหนึ่งของเขตลอตเตการอน (Lot et Garonne) ที่ประกอบไปด้วยหมู่บ้านที่สวยงามหลายหมู่บ้าน และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่รอให้เราไปพบเจอ รอบเมืองอาแฌ็งมีหมู่บ้านสวยๆอยู่หลายหมู่บ้าน ตัวอย่างของหมู่บ้านเหล่านั้นก็มี มัวโฆ (Moirax), ปูยมิโครล (Puymirol), โบวิล (Beauville), วีอานน์ (Vianne), เนฆัก (Nerac), เฟรเปช (Frespech), โตแน็งซฺ (Tonneins), แกลคัก (Clairac), ลาปาราด (Laparade), เลอต็อมเบลอะ ซุค โล (Le Temple sur Lot) และอีกหลายๆเมือง
อาแฌ็งเองก็เป็นที่ตั้งของสถานที่สวยงามหลายแห่งที่รอให้เราไปชื่นชม เดี๋ยวจะค่อยกล่าวถึงในช่วงต่อๆไปของบทความนี้ สาเหตุที่ทำให้เมืองอาแฌ็งน่าสนใจก็เป็นเพราะประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 2,000 ปี เนินเขา coteau de l'Ermitage ที่อยู่ถัดไปจากตัวเมืองเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเคลต์ (Celtic) ในสมัยโบราณกาล อาแฌ็งยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญในยุคโรมัน และเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่ส่งเสริมความก้ามหน้าของคริสต์ศาสนา ในช่วงสงครามร้อยปี ฝรั่งเศสและอังกฤษต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาแฌ็งซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในตอนนั้น หากมีโอกาสไปที่เมืองอาแฌ็ง คุณยังจะคงมีโอกาสได้เห็นตึกสวยๆที่มีอายุเก่าแก่ กล่าวคือ ตั้งแต่ยุคกลางเลยก็ว่าได้
อาแฌ็งเป็นหนึ่งในเมืองโด่งดังในเรื่องอาหารอย่างที่สุด เพราะฉะนั้นนักชิมไม่ควรพลาดเมืองนี้ ราคาของอาหารก็ถือว่าเหมาะสม เราจะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมต่อไปในบทความนี้ นอกจากอาหาร อาคารบ้านเรือนที่น่าติดตาม อาแฌ็งยังมีกิจกรรมที่ครอบครัวสามารถทำร่วมกันได้ เช่น ชิมไวน์ ปีนป่าย เดินทางไกล พายเรือ คายัค เยี่ยมชมฟาร์ม เป็นต้น นอกเหนือจากกิจกรรมในหมู่บ้านแล้ว ใกล้ๆกันกับเมืองอาแฌ็งยังเป็นสถานที่ตั้งของสวนสนุกถึง 2 แห่งซึ่งใช้เวลาเดินทางจากเมืองอาแฌ้งเพียงแค่ 10 นาที่เท่านั้น สวนสนุกทั้งสองคือ Waligator และ Aqualand
ถึงแม้อาแฌ็งจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มา แต่มีสถานที่มากมายที่คุณสามารถไปเยี่ยมชมได้ที่บริเวณใจกลางของเมือง ถึงแม้ว่าอาคารหลายๆอาคารก่อสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ถึง 20 แต่ก็ยังมีบางส่วนของเมืองที่ยังคงเก็บรักษาเอกลักษณ์หรือโครงสร้างของอาคารแบบยุคกลางไว้
ส่วนนึงของเมืองอาแฌ็งเต็มไปด้วยอาคาร บ้านช่องตามแบบยุคศตวรรษที่ 15 กล่าวคือ มีขอบไม้และปูถนนด้วยหิน บ้านที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในอาแฌ็ง มีชื่อว่า Maison du Sénéchal บนถนน Puits-du-Saumon บ้านหลังนี้สร้างด้วยหินตั้งแต่ศตวรรษที่ 14
ระหว่างที่เดินดูถนนโบวิลล์ (Beauville) เราก็ได้ทำความรู้จักกับบ้านสไตล์ศตวรรษที่ 15 หลายๆหลังซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่ปูด้วยหิน ภาพที่ได้พบเห็นช่างน่าประทับใจ นอกจากนี้แล้วยังมีถนน Rue Garonne, Rue Puits-du-Saumon, Rue des Juifs, Rue Moncorny อีกด้วยที่คุณควรจะเดินผ่านไปชื่นชมความงดงามของบ้านเรือน
อีกหนึ่งจุดที่พลาดไม่ได้เลย คือ "Cornières" (กอนีแยร์) สถานที่แห่งนี้เป็นถนนที่ผู้คนทำการค้าขาย ติดต่อธุรกิจในยุคกลาง จุดเด่นของ Cornières คือทางเดินที่มีหลังคาทรงโค้งและเสาร์หิน นอกจากนี้บริเวณยังเคยเป็นที่พักอาศัยของเหล่านักธุรกิจในเมืองอีกด้วย แต่ปัจจุบันถนนเส้นนี้ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นร้านอาหาร
พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์นี้ตั้งอยู่ในคฤหาสน์สไตล์เรเนซ้องส์ และนั่นเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่การไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์นี้ทำให้เหมือนเป็นการเดินย้อนเวลาและย้อนดูประวัติศาสตร์ศิลปะ ผลงานในพิพิธภัณฑ์นี้แสดงให้เห็นภาพกว้างของประวัติศาสตร์ศิลปะ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไปจนถึงศตวรษที่ 20
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นำเสนอผลงานของศิลปินผู้มีชื่อเสียงที่หลากหลาย เช่น Goya, Tintoretto, Corot, Sisley, Monet และ Picabia รวมไปถึงผลงานชิ้นเอกของศิลปินท้องถิ่น
พิพิธภัณฑ์ผสมผสานการจัดแสดงผลงานศิลปะที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์และผลงานร่วมสมัยเข้าด้วยกัน ภาพด้านบนที่เห็นอยู่นี้ มืีชื่อว่า "Venus du Mas" ซึ่งเป็นรูปปั้นสไตล์กอลล์-โรมัน (Gallo-Roman) ที่ถูกค้นพบในหมู่บ้านใกล้เคียง
และสิ่งสุดท้ายที่ต้องกล่าวถึง ก็คือ บริเวณพื้นที่ลานด้านในที่มีความสวยงาม และสามารถใช้เป็นจุดแวะพัก พร้อมพับชื่นชมความสวยงามของอาคารประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆกัน
เวลาทำการ : วันจันทร์, วันพุธถึงวันอาทิตย์ 11:00น. -18:00น. / ปิดทุวันอังคาร
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม : 5.90 ยูโร
สถานที่แห่งนี้เคยเป็นโบสถ์ ตัวอาคารมีลักษณะของการก่อสร้างแบบฉบับของยุคศตวรรษที่ 13 แต่ในปัจจุบัน ความศรัทธาต่อสถานที่แห่งนี้ก็เสื่อมลง เหลือเพียงสถานะอดีตอารามของนักบวชดอมินิกัน ซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกว่า “ฌากอแบ็ง” (Jacobins)
ภายในตัวอาคารได้รับการปรับแต่งให้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ และจัดแสดงนิทรรศการชั่วคราว เพราะฉะนั้นแล้วการไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ใช่แค่การไปดูนิทรรศการ แต่ยังได้ชื่นชมความสวยงานของสถาปัตยกรรมอีกด้วย
เวลาทำการ : วันจันทร์, วันพุธถึงวันเสาร์ 11:00 น. -18:00น. / ปิดทุวันอังคาร
ค่าธรรมเนียมการเข้าชม: 7 ยูโร สำหรับเข้าชมฌากอแบ็ง / 12 ยูโรสำหรับเข้าชมทั้งส่วนพิพิธภัฑ์และฌากอแบ็ง
Canal des deux Mers (คลองสองทะเล) เป็นสถานที่มีชื่ออยู่ในรายการสถานที่ซึ่งนับเป็นมรดกโลกตามการจัดแจงขององค์กร UNESCO คลองแห่งนี้มีความยาว 350 กิโลเมตร และเป็นคลองที่ขุดสร้างโดยมนุษย์เพื่อเป็นทางเชื่อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแอตแลนติก คลองแห่งนี้มีสองส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่หนึ่ง Canal du Midi ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 โดยเชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและเมืองตูลูส (แม่น้ำการอนน์) ส่วนที่สอง คือ Canal de la Garonne ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 เพื่อนเป็นส่วนขยายต่อจาก Canal du Midi และเชื่อมเมืองตูลูสกับทะเลแอตเเลนติก
แรกเริ่ม คลองแห่งนี้ถูกขุดสร้างขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางการค้า แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงถสานที่ล่องเรือเหมาลำ เรือร้านอาหาร และแพโรงแรม ในช่วงการก่อสร้างคลอง ได้มีการตกลงที่จะปลูกต้นไม้เพื่อสร้างความสมดุลให้ริมฝั่งคลอง และPlane trees หรือ ไม้มะเดื่อก็ได้กลายมาเป็นต้นไม้ที่ได้พื้นที่มากที่สุด ณ บริเวณคลองนี้ ตลอดทั้งปีจะมีนักปั่นจักรยานและผู้คนหลากหลายที่มาใช้เวลาในการทำกิจกรรมชื่นชมธรรมชาติที่ริมฝั่งคลองนี้
คลองแห่งนี้ไหลจากฝั่งขวาของแม่น้ำการอนน์ ข้ามแม่น้ำในเมืองอาแฌ็งโดยผ่ายสะพานส่งน้ำที่ชื่อว่า Pont-Canal (สะพานลำเลียงน้ำอาแฌ็ง) และไหลไปยังฝั่งซ้ายของแม่น้ำ สะพานลำเลียงน้ำอาแฌ็งถือว่าเป็นสะพานข้ามน้ำที่มีเอกลักษณ์หนึ่งเดียว
หากต้องการเพลิดเพลินไปกับการชื่นชมพื้นที่คลอง คุณสามารถที่จะเดินเลาะริมฝั่งคลองไปได้เรื่อยๆ หรือเลือกที่จะเช่าเรือก็ได้ ที่ท่าเรือเล็กอาแฌ็งมีเรือให้เช่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรือที่ไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตในการขับขี่ หรือถ้าจะสำรองทัวร์บนเรือ ก็สามารถจองผ่านสำนักงานท่องเที่ยวได้โดยคลิ๊ก ที่นี่
วิหาร Saint-Caprais เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกตามประกาศของ UNESCO วิหารนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 โดยในการสร้างนั้น ได้ออกแบบให้เป็นไปตามแบบโรมานเนสก์ แต่ต่อมาก็ได้มีการเพิ่มเติมส่วนที่เป็นสถาปัตยกรรมโกธิคเข้าไปในภายหลัง
หอระฆังสร้างขึ้นใหม่ในปี 1835 และภาพเขียนนฝาผนังนั้นได้รับการสร้างสรรค์ในยุคศตวรรษที่ 19 โดยเป็นการวาดให้เห็นภาพของคัมภีร์เก่าและพันธะสัญญาใหม่
เมืองอาแฌ็งและภูมิภาคของเมืองมีชื่อเสียงในเรื่องของราคาอาหารที่ถือว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ซึ่งราคาอาหารถูกที่สุดในประเทศฝรั่งเศส นั่นก็เพราะอาแฌ็งเป็นเมืองเกษตรกรรม ซึ่งทำให้อาหารสดใหม่ และมีราคาที่เป็นมิตร ถ้าคุณเคยมาเที่ยวที่กรุงปารีส คุณจะรู้ว่าการรับประทานอาหารแสนอร่อยในราคาเพียงประมาณ 15 ยูโรเท่านั้นเป็นความสุขอย่างนึง หากต้องการลิ้มลองร้านอาหารติดดาวมิชลินก็สามารถทำได้ในราคาที่ต่ำกว่า 30 ยูโรที่เมืองนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นที่เลื่องชื่อในเรื่องของเชฟฝีมือดีมากมาย และหากมีที่เมืองอาแฌ็ง คุณก็จะได้พบกับร้านอาหารแบบต้นฉบับ ที่ปะปนอยู่กับร้านที่ประกอบอาหารแบบ Nouvelle cuisine หรือการประกอบอาหารแนวใหม่ที่เน้นไปที่การชูรสชาติของวัตถุดิบมากกว่า เน้นไปที่รสชาติที่สดใหม่ของวัตถุดิบ
แม้ว่าคุณจะพบเจอร้านอาหารได้มากมายในเมืองอาแฌ็ง แต่แหล่งรวมร้านอาหารจริงๆนั้นมีจุดหลักอยู่ไม่กี่จุด หนึ่งในแหล่งรวมอาหารที่มีบรรยากาศโดดเด่นกว่าบริเวณอื่น คือ ถนนคนเดิน Molinier นั่นเอง
คุณสามารถทดลองเมนูรสชาตดีได้ที่ร้าน Arôme ซึ่งเป็นร้านครอบครัวและเสิร์ฟอาหารฟิวชั่นที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล นอกจากร้านนี้แล้วยังมีร้านอาหารอีกหลายร้านใกล้ๆพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ ตัวอย่างร้านก็เช่น Bistrot Voltaire, le Café des Arts ซึ่งมีโต๊ะที่นั่งด้านนอก ในบริเวณลานจุตรัสที่สยงาม หรือร้าน l'Aubade ที่อยู่ถัดจากจุดถ่ายรูปกับกำแพงอิฐของโบสถ์ Notre Dame du Bourg
ถ้าคุณชื่นชอบการปรุงแบบ Nouvelle Cuisine ร้านอาหาร le Margoton หรือ Acetho เป็นตัวเลือกที่คุณไม่ควรพลาด ร้านอาหารนี้อยู่ใกล้กับถนน Beauville ในช่วงฤดูร้อน ร้าน Acetho ยังมีเมนูพิเศษอย่างไอศกรีมที่เป็ของคาวให้ได้ลิ้มลองด้วย (ตัวอย่างในภาพด้านบน) โดยราคาของเซ็ตเมนุมีตั้งแต่ราคา 17 ยูโร ไปถึง 30 ยูโร
Les Cornières ถนนสายที่เรากล่าวถึงก่อนหน้านี้ เป็นที่ตั้งของร้านหารชื่อดังหลายร้านในเมืองอาแฌ็ง หนึ่งในร้านที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ L'Affranchi, La Table des Cornières และ Monsieur Jeannot โดยส่วนตัวของเราแล้ว ร้าน Monsieur Jeannot เป็นร้านที่เราหลงรักมากที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงเป็นเพราะเมนูอาหารดั้งเดิมตามแบบฝรั่งเศส รวมไปถึงร้านนี้ยังใช้วัตถุดิบที่สดใหมม่จากท้องถิ่นในการปรุงอาหารด้วย
นอกจากจะรับประทานอาหารอร่อยๆแล้ว การชื่นชมสถาปัตยกรรม ความสวยงามของโครงสร้างอาคารและซุ้มทางเดินบริวเวณ Cornières ยังเป็นความเพลิดเพลินอีกอย่าง ราคาอาหารนั้นก็สมเหตุสมผล ราคาของเซ็ตเมนูอยู่ที่ 16 ยูโรเท่านั้น ซึ่งเซ็ตเมนูที่เราพูดถึงนี้ ประกอบไปด้วยเมนูเรียกน้ำย่อย จานหลัก และของหวาน
ร้านอาหารอีกร้านที่นับเป็นร้านที่ดีที่สุดในอาแฌ็งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ Mariottat ร้านนี้เป็นร้านที่ได้รับรางวัลมิชลินตั้งแต่ปี 2003 ร้านนี้อยู่ในคฤหาสน์สไตล์ศตวรรษที่ 19 ใกล้กับบริเวณอารามฌากอแบ็ง ในช่วงวันจันทร์ถึงศุกร์ (เฉพาะมื้อกลางวัน) ราคาของเซ็ตเมนูอยู่ที่ 28 ยูโรเท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับร้านมิชลินในปารีส ถือว่าราคานี้เป็นราคาที่คุ้มค่าทีเดียว
เราพูดถึงเมืองอาแฌ็งในหลายๆด้าน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร และอาคาร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือ Pruneaux d’Agen (พรุนจากอาแฌ็ง) นอกจากอาหารราคาย่อมเยาว์แล้ว อาแฌ็งยังมีชื่อเสียงเรื่องของผลผลิตพื้นเมือง ลูกพรุนถูกเก็บเกี่ยวจากถิ่นบ้านนอกไม่ไกลจากตัวเมืองอาแฌ็ง ถ้าพูดถึงประวัติที่มาของ Pruneaux d'Agen ก็ต้องย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 ที่นักบวชของสำนัก Abbaye de Clairac กลับมาจากสงครามครูเสดครั้งที่ 3 และนำเอาพรุน Damas จากซีเรียมาต่อตากับพันธุ์พื้นเมือง จึงได้มาเป็นพรุนสายพันธุ์ใหม่ ที่ชื่อว่า Prune d’Ente เมื่อนำผลที่ได้มาตากแดด เราก็จะได้ของขึ้นชื่ออย่างพรุนอาแฌ็งนั่นเอง
พรุนจากอาแฌ็งอุดมไปด้วยพลังงาน กากใย วิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลาย พรุนอาแฌ็งได้รับความนิยมอย่างมากมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เนื่องมาจากการที่เหล่ากะลาสีพากันชื่นชมรสชาติและคุณค่าทางสารอาหารของพรุนอาแฌ็งนั่นเอง นอกจากรสชาติที่ดี พรุนอาแฌ็งยังช่วยให้สุขภาพดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ป้องกันโรคหัวใจ รวมไปถึงการส่งเสริมการสร้างแบคทีเรียดีในลำไส้
Pruneaux d'Agen สามารถนำมาทานได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะแบบแห้ง หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ นอกจากนี้ยังสามารถนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แยม และที่โด่งดังที่สุด ก็คือ ของหวาน pruneaux fourrés à la crème de pruneaux ถ้าแปลตรงๆตัวก็คือ พรุนยัดไส้ครีมลูกพรุน และของหวานอีกอย่างก็คือพรุนเคลือบชอกโกแลต หรือ pruneaux enrobés au chocolat นั่นเอง และแนะนอนว่าร้านอาหารหลายร้านนำเอาพรุนไปเป็นส่วนหนึ่งของเมนูในร้าน
คุณสามารหาซื้อลูกพรุนอาแฌ็งได้ที่หัวเมือง รวมไปถึงตลาดในชนบท ร้านค้าชื่อ Maitre Prunille เป็นร้านที่ขายผลิตภัณฑ์จากพรุนร้านหนึ่งที่รวมทุกอย่างเอาไว้ ร้านนี้ตั้งอยู่ที่ 50 Boulevard de la République หากคุณเข้าไปที่ออฟฟิศของการท่องเที่ยวเมืองอาแฌ็ง คุณก็จะพบกับผลิภัณฑ์ที่ทำจากลูกพรุนได้เช่นกัน หากใครยังลังเลอยู่ว่าจะซื้ออะไรเป็นของฝากจากอาแฌ็ง Pruneaux คือ คำตอบ ท้ายที่สุด เราขอฝากไว้เพิ่มเติมว่าให้เลือกซื้อลูกพรุนที่ได้รับการการันตีว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (PGI) เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าสินค้านั้นผ่านกระบวนการกรรมวิธีการเก็บเกี่ยวแบบพื้นเมืองจริงๆ
เรื่องและภาพ : Vincent Sacau
สำนักงานท่องเที่ยวเมืองอาแฌ็ง "Destination Agen"
ที่ตั้ง: 38 rue Garonne, 47000, AGEN
เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 9:00น. – 12:30 น. และ 14:00 น. –18:00 น.
เว็บไซต์: คลิ๊ก ที่นี่