ในประเทศฝรั่งเศสไม่ได้มีเพียงกรุงปารีสเท่านั้นที่สวยงามน่าท่องเที่ยว แต่ยังมีสถานที่อีกมากมายให้ออกเดินทางสำรวจ โดยส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวส่วนมากจะไม่ค่อยมีเวลาเดินทางออกมาท่องเที่ยวนอกกรุงปารีสสักเท่าไรนัก แต่ถ้าหากว่าคุณมีเวลาและโอกาส ทางเราแนะนำว่าประเทศฝรั่งเศสยังมีอีกหลายที่ที่คุณควรจะเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัดของประเทศฝรั่งเศส โบสถ์ หรือพระราชวัง แต่ละเมืองของประเทศฝรั่งเศสนั้นมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ อาหาร วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่แตกต่างกันออกไป ถ้าหากคุณเลือกไม่ได้ว่าจะไปที่ไหนดี วันนี้ทางเราได้รวบรวมเอา 10 สถานที่ท่องเที่ยวที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมาที่ประเทศฝรั่งเศส เริ่มต้นจากสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากกรุงปารีสมากนักไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ไกลออกไป
ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Wonder of the West” มหาวิหารกลางน้ำมงแซงมิเชล (Mont Saint Michel) นั้นเป็นหมู่บ้านจากยุคสมัยกลางที่มีวิหารสไตล์โกธิค (Gothic) ตั้งอยู่ที่เกาะกลางน้ำไม่ใกล้ไม่ไกลจากชายฝั่งของเมืองนอร์มังดี (Normandy) สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 11 และ 16 ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับแสวงบุญและเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สำคัญที่สุดของอารยธรรมยุคกลาง ตัวหมู่บ้านและมหาวิหารได้รับการอนุรักษ์บำรุงเป็นอย่างดี ทำให้สถานที่แห่งนี้ยังคงสภาพเดิมเอาไว้อยู่ได้เป็นเวลาหลายสิบปี เมื่อปี 1979 มงแซงมิเชลก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเพื่อเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เนื่องจากการผสมผสานที่ลงตัวและสวยงามของแหล่งธรรมชาติและสถาปัตยกรรม
ถ้าหากคุณมีโอกาสได้เดินทางไปท่องเที่ยวและพักที่นี่สักคืน แน่นอนเลยว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่แสนสวยงามไม่รู้ลืม สถานที่แห่งนี้อาจจะวุ่นวายบ้างในช่วงเวลากลางวันเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ หากแต่ว่าในช่วงกลางคืน ที่นี่จะกลับมาเงียบสงบอีกครั้งและคุณสามารถเพลิดเพลินไปกับความเงียบอันสวยงามนี้ได้ การได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกที่มีวิวของมหาวิหารมงแซงมิเชลตั้งอยู่นั้น ถือเป็นสิ่งที่ต้องมาเห็นกับตาตัวเองสักครั้งในชีวิต ถ้าหากคุณต้องการอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมหาวิหารมงแซงมิเชล สามารถคลิกอ่านได้ที่ มหาวิหารกลางน้ำมงแซงมิเชล
การเดินทาง: ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงจากกรุงปารีสเพื่อไปยังมงแซงมิเชลโดยรถไฟความเร็วสูง TGV จากสถานีรถไฟ Gare Montparnasse ไปยังสถานี Rennes หรือ Dol de Bretagne หลังจากนั้นต่อรถบัสเพื่อเดินทางไปยังมงแซงมิเชล
ปราสาทแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์ (Chateaux de la Loire) นั้นมีชื่อเสียงโด่งดังน้อยกว่าพระราชวังแวร์ซาย (Chateaux de Versailles) หากแต่ว่าก็มีจุดเด่นและความสวยงามที่ไม่เหมือนใครที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวกัน ในปราสาทกว่าร้อยแห่งในลุ่มแม่น้ำลัวร์ กว่า 50 แห่งเปิดให้สาธารณะชนได้เข้าชม และปราสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Amboise, Chambord, Azay le Rideau, Chenonceau, Cheverny, Chinon และ Le Clos Lucé
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมในลุ่มแม่น้ำลัวร์จึงมีปราสาทตั้งอยู่เต็มไปหมด นั่นก็เป็นเพราะว่าศาลแห่งประเทศฝรั่งเศสนั้นได้ก่อตั้งขึ้นที่นี่ในช่วงยุคเรเนซองส์ (French Renaissance) ในสมัยศตวรรษที่ 15 และ 16 และลุ่มแม่น้ำลัวร์ก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ นั่นส่งผลให้เหล่าขุนนางฝรั่งเศสหลายคนมีปราสาทอยู่ที่นี่ หลังจากนั้นกษัตริย์ฝรั่งเศสก็ได้ตัดสินใจจัดตั้งศาลของตนเองขึ้นมาอีกแห่งใกล้กับกรุงปารีส จึงเกิดมาเป็นพระราชวังฟงแตนโบล (Fontainbleau), พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre) ในปัจจุบัน และพระราชวังแวร์ซาย ทำให้พื้นที่ในลุ่มแม่น้ำลัวร์นั้นเป็นที่น่าสนใจน้อยลงสำหรับเหล่าขุนนาง ในศตวรรษที่ 16 จึงมีปราสาทสร้างขึ้นใหม่ไม่มากนักและปราสาทส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีการปรับปรุงปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกมากเท่าไร นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมปราสาทในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำลัวร์จึงยังคงสภาพเดิมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
การเดินทาง: สำหรับปราสาทและพระราชวังโดยทั่วไปมักจะไม่มีขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงได้โดยตรง เมืองที่ใกล้กับปราสาทลุ่มแม่น้ำลัวร์มากที่สุดคือเมืองตูร์ (Tours) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาทีจากกรุงปารีส ตั๋วราคาประมาณ 20-30€ หลังจากนั้นคุณสามารถเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางไปยังปราสาทได้
เมืองสตราสบูร์ก (Strasbourg) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตรงทางแยกระหว่างยุโรปทางใต้ฝั่งลาตินและยุโรปทางเหนือฝั่งประเทศเยอรมัน ทำให้บรรยากาศในเมืองนั้นเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์เยอรมันและดูเหมือนจะเป็นประเทศเยอรมันมากกว่าฝรั่งเศสเสียอีก ที่ใจกลางเมืองสตราสบูร์กนั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น “Petite France” ด้วยระบบคลองกลางเมืองและบ้านสไตล์เยอรมันดั้งเดิมเป็นครึ่งไม้ครึ่งปูนที่จะทำให้คุณรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในเทพนิยาย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินทางไปเที่ยวที่สตราสบูร์กคือช่วงเดือนธันวาคม ในช่วงที่ในเมืองมีการตั้งตลาดคริสต์มาสที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส
การเดินทาง: ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจากกรุงปารีสจากสถานีรถไฟ Gare de l’Est ตั๋วราคาประมาณ 50-100€
เพียงเวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นจากกรุงปารีสโดยรถไฟความเร็วสูง TGV คุณก็เดินทางมาถึงที่เมืองบอร์โด (Bordeaux) ได้อย่างง่ายดาย ที่นี่ถือว่าเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวมากอีกเมืองหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส เขตเมืองเก่าที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 2007 ที่ผ่านมาด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร ใจกลางเมืองบอร์โดถือว่าเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมคลาสสิคของประเทศฝรั่งเศสเมื่อสมัยศตวรรษที่ 18 ได้เป็นอย่างดี อาคารเก่าๆส่วนใหญ่ได้รับการรีโนเวทในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หนึ่งในสถานที่ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากคือที่ Miroir d’Eau ที่เป็นลานน้ำพุเงาสะท้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่หน้าจัตุรัส Place de la Bourse ที่สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 18
มากไปกว่านั้น เมืองบอร์โดยังเป็นเมืองหลวงแห่งไวน์อีกด้วย ไวน์จากเมืองบอร์โดนั้นได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก โดยถือว่าเป็นสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยพระราชวังและไร่องุ่น ถ้าหากคุณต้องการเรียนรู้เรื่องราวเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวน์ก็สามารถเดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์ไวน์ Cité du Vin ได้ หรือคลิกอ่านบทความ Cité du Vin พิพิธภัณฑ์ไวน์ ณ เมืองบอร์โด นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งรวมอาหารที่ดีที่สุดของประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น Canard, Salade de Gésiers, Foie Gras และอีกมากมาย
อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองบอร์โดต่อได้ที่ Bordeaux เมืองบอร์โด สำรวจเมืองแห่งไวน์และองุ่น
การเดินทาง: ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจากกรุงปารีสจากสถานีรถไฟ Gare Montparnasse ตั๋วราคาประมาณ 50-100€
เมื่อคุณเห็นภาพของภูเขาทราย Dune du Pilat คุณอาจจะคิดว่าสถานที่แห่งนี้อาจจะตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในทะเลทรายซาฮารา แต่เปล่าเลย ภูเขาทรายที่คุณเห็นอยู่ในภาพนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองบอร์โด เดินทางเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ภูเขาทรายแห่งนี้มีความยาวถึง 3 กิโลเมตร กว้าง 600 เมตร และสูงถึง 100 เมตร ทำให้ที่นี่เป็นภูเขาทรายที่สูงที่สุดในยุโรปเลยทีเดียว คุณสามารถขึ้นไปยังจุดสูงสุดของภูเขาทรายได้โดยทางบันไดที่ติดตั้งเอาไว้ ที่บนนั้นคุณสามารถชมวิวของอ่าว Arcachon และมหาสมุทรแอตแลนติคที่กว้างสุดลูกหูลูกตาได้อย่างสบายๆ
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ Arcachon Bay อ่าวติดมหาสมุทรแอตแลนติคและภูเขาทรายที่สูงที่สุดในยุโรป
การเดินทาง: นั่งรถไฟจากสถานีรถไฟเมืองบอร์โดไปยังสถานี Arcachon ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ตั๋วราคาประมาณ 12€ หลังจากนั้นต่อรถบัสสาย 1 ไปยังสถานี Dune du Pilat ใช้เวลาประมาณ 30 นาที
หลายคนอาจจะได้ยินกันมาว่าเทือกเขามงบล็อคงค์ (Mont Blanc) อยู่ในประเทศอิตาลี จริงอยู่ที่เทือกเขานั้นตั้งอยู่ระหว่างชายแดนประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี แต่ยอดเขานั้นอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ชื่อของเทือกเขานี้มาจากคำว่า “White Mountain” หรือภูเขาสีขาว ความสูงของยอดเขาสูงสุดอยู่ที่ 4,810 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในยุโรป การปีนขึ้นไปยังยอดเขานั้นต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของนักปีนเขามืออาชีพ หากแต่ว่าคุณสามารถเดินทางขึ้นไปยังจุด Aiguille du Midi ยอดเขาของเทือกเขาได้โดยกระเช้าลอยฟ้าจากเมืองชาโมนิกซ์ (Chamonix)
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ Chamonix-Mont-Blanc เมืองชาโมนิกซ์ เมืองแห่งเทพนิยายและยอดเขามงบล็องค์
การเดินทาง: การเดินทางไปยังเทือกเขามงบล็องค์นั้นค่อนข้างยาก เมืองที่ใกล้ที่สุดคือเมืองชาโมนิกซ์ และจากรุงปารีสไปยังเมืองชาโมนิกซ์ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการเดินทางโดยรถไฟ โดยจะต้องต่อรถไฟประมาณ 2 ครั้ง
ทางใต้ของประเทศฝรั่งเศสมีเมืองน่าท่องเที่ยวมากมาย เช่น อาร์ลส์ (Arles), อาวีญง (Avignon) หรือเอ็กซองโพรวองซ์ (Aix-en-Provence) ถ้าหากคุณมีเวลาเพียงพอแนะนำว่าควรจะเดินทางไปท่องเที่ยวให้ครบทุกเมือง แต่ถ้าหากมีเวลาจำกัด ทางเราแนะนำว่าควรไปที่เมืองนีมส์ (Nîmes) ซึ่งเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่สมัยโรมัน เมืองนีมส์แห่งนี้ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองที่สำคัญของจักรวรรดิโรมัน เพราะเหตุนี้ ที่เมืองนีมส์จึงมีโรงละครโรมัน (Amphitheatre) หรือที่เรียกกันว่า Arena of Nîmes ใหญ่โตมโหฬารและสามารถจุคนได้ถึง 25,000 คน
ห่างจากตัวเมืองเพียง 30 นาทีคุณก็จะพบกับสะพาน Pont du Gard อันงดงามซึ่งเป็นสะพานท่อระบายน้ำที่สูงที่สุดของโรมัน โดยมีท่อระบายน้ำที่ยาวถึง 50 กิโลเมตรพาดผ่านกับสะพานเพื่อนำน้ำไปยังเมืองโรมันแห่งนีมส์ (Roman city of Nîmes) ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปี 1985
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ Nîmes เมืองนีมส์ เมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยจักวรรดิโรมัน
การเดินทาง: ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการเดินทางจากกรุงปารีสจากสถานีรถไฟ Gare de Lyon ตั๋วราคาประมาณ 80€
ทุ่งลาเวนเดอร์ที่โพรวองซ์ (Provence) นั้นได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากนักท่องเที่ยวในฐานะจุดถ่ายรูปที่สวยที่สุดที่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม การเดินทางตามหาทุ่งลาเวนเดอร์นั้นค่อนข้างจะยากเสียหน่อย เนื่องจากลาเวนเดอร์จะออกดอกแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ประมาณกลางเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนสิงหาคม และทุ่งลาเวนเดอร์ส่วนใหญ่ไม่สามารถเดินทางได้ด้วยขนส่งสาธารณะ การเช่ารถจะเป็นวิธีการเดินทางที่ดีที่สุด แต่ถ้าหากคุณสามารถเดินทางมาถึงที่ทุ่งลาเวนเดอร์ที่เต็มไปด้วยดอกสีม่วงบานสะพรั่งได้เมื่อไร คุณจะไม่มีทางลืมโมเม้นต์นั้นได้เลย
หมู่บ้านในแคว้นโพรวองซ์ส่วนใหญ่จะมีการจัดเทศกาลลาเวนเดอร์เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะได้ท่องเที่ยวพร้อมทั้งเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ เที่ยวทุ่งลาเวนเดอร์ ทุ่งดอกไม้สีม่วงแห่งเมืองวาลองโซล
การเดินทาง: ขับรถจากเมืองเอ็กซองโพรวองซ์ (Aix-en-Provence) จาก Plateau de Valensole หรือจากเมืองอาวีญง (Avignon) จาก Luberon
ความยาวกว่า 25 กิโลเมตรและความลึกกว่า 700 เมตร ทำให้หุบเขาแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นหุบเขาที่สวยที่สุดในยุโรป ที่นี่ถือว่าเป็นสถานที่สุดเพอร์เฟ็คเพื่อการพักผ่อนในช่วงซัมเมอร์ วิธีการเดินทางท่องเที่ยวที่ดีที่สุดคือการเดินเล่นไปเรื่อยๆที่ริมหน้าผาและชมวิวสุดลูกหูลูกตาของช่องแคบ Verdon น้ำสีเทอร์ควอยซ์ที่ไหลผ่านช่องแคบ ทำให้เกิดเป็นภาพที่สวยงามจนบรรยายออกมาไม่ถูกเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้วคุณยังสามารถเช่าเรือคายัคพายเล่นได้อีกด้วย อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่ ทะเลสาบ Lac de Sainte Croix ล้อมรอบด้วยหุบเขาที่สวยที่สุดในยุโรป Gorges du Verdon
การเดินทาง: หุบเขา Gorges du Verdon นั้นสามารถเดินทางได้โดยรถบนต์เท่านั้นจากเฟรนช์ริเวียร่า (French Riviera) หรือเมืองเอ็กซองโพรวองซ์ เมืองที่ใกล้ที่สุดคือเมือง Moustiers-Sainte-Marie
Calanques เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากในหมู่ชาวฝรั่งเศส โดยคำว่า "Calanques" นั้นแปลว่า "ช่อง" ซึ่งที่ Calanques จริงๆแล้วเป็นเพียงช่องทางเข้าของหินที่ก่อตัวขึ้นมาในหน้าผาหินปูน โดยหน้าผ้าหินแห่งนี้นั้นทอดยาวไปตามอ่าวและชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองมาร์กเซย (Marseille) และหมู่บ้านกาซีส์ (Cassis) บางพื้นที่ของ Calanques นั้นเป็นอุทยานแห่งชาติและอ่าวบางอ่าวจะปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อน เนื่องจากอาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นต่อนักท่องเที่ยวถ้าหากเกิดเหตุไฟไหม้ป่าขึ้นมา การเดินทางมาท่องเที่ยวที่ Calanques นั้นสามารถทำได้โดยการซื้อทัวร์ล่องเรือจากท่าเรือมาร์กเซยหรือกาซีส์ หรือจะเดินทางมาโดยการเดินป่าก็ได้ นอกจากนั้นยังมีเมืองประมงอีกหลายเมืองให้สำรวจในบริเวณนี้ อีกทั้งชายหาดที่สามารถลงไปว่ายน้ำเล่นได้อย่างสบายใจ
การเดินทาง: เดินทางด้วยเรือหรือปีนเขาจากเมืองมาร์กเซยหรือหมู่บ้านกาซีส์
เรื่อง: Aphinya Kasemsukphaisan
ภาพ: คลังภาพ O'bon Paris