BORDEAUX เมืองบอร์โด

สำรวจเมืองแห่งไวน์และองุ่น

 Saint-Andre Cathedral

เมืองบอร์โดเป็นเมืองที่มีสีสันและสามารถท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดาย ในตัวเมืองนั้นไม่เล็กไม่ใหญ่ มีระยะทางที่สามารถเดินถึงกันได้ไม่ยากนักจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง หรือถ้าหากใครไม่อยากเดิน ก็สามารถใช้ขนส่งสาธารณะได้ อย่างเช่นรถรางหรือ tramway เป็นต้น นอกจากสะดวกสบายแล้วยังเป็นการนั่งชมเมืองไปในตัวอีกด้วย (ราคาตั๋วต่อเที่ยว 1.60€ ใช้ได้ 1 ชั่วโมง และ 4.70€ สำหรับ 1 วัน)

 

Esplanade des Quinconces

ถ้าเปรียบเทียบกับกรุงปารีสหรือโพรวองซ์แล้ว เมืองบอร์โดนี้ก็มีค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูงไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่และกำลังจะกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวเต็มตัว หากแต่ว่ายังมีนักท่องเที่ยวไม่มากเท่าไรนักถ้าเทียบกับกรุงปารีส ราคาอาหารฝรั่งเศสสไตล์ Southwestern จะมีราคาประมาณ 15-20€ แต่ถ้าหากเป็นตลาดสด คุณสามารถซื้อผลไม้หรือขนมนมเนยได้ในราคาไม่กี่ยูโร

 La Grosse Cloche

เมืองแห่งสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น

มากไปกว่านั้นเมืองบอร์โดยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO อีกด้วย โดยได้รับการขนานนามว่า "An outstanding urban and architectural ensemble" หรือ "เมืองที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามและโดดเด่น" ซึ่งถ้าหากใครมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวที่เมืองบอร์โดก็จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เมืองบอร์โดได้รับนั้นไม่ได้เกินความจริงเลย 

 

Place des Quinconces

ด้วยความที่ตึกรามบ้านช่องเก่าแก่ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 นั้นถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี ทำให้ในตัวเมืองนั้นมีตึกเก่าแก่และสถาปัตยกรรมที่สวยงามผสมปนเปกันไปกับตึกสมัยใหม่ อีกทั้งเมืองบอร์โดยังเคยเป็นจุดศูนย์กลางในการค้าขายระหว่างประเทศทางยุโรปตอนเหนือ ประเทศฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

 

Monuments aux Girondins (Place des Quinconces)

ถ้าจะไม่พูดถึงไวน์ก็ไม่ได้ เพราะไวน์ถือว่าเป็นผลผลิตและผลิตภัณฑ์ประจำเมืองบอร์โดเลย นอกจากส่งไปขายทั่วประเทศฝรั่งเศสแล้ว ยังมีการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก ทำให้เมืองบอร์โดเป็นที่รู้จักในฐานะ "เมืองแห่งไวน์และองุ่น" ในสมัยก่อน ครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยในพื้นที่นั้นต่างมีบ้านพักตากอากาศที่เมืองบอร์โดทั้งสิ้น เรียกกันว่า "Hôtels Particuliers" แต่ละครอบครัวต่างพากันตกแต่งบ้านอย่างสวยหรูให้สมฐานะ อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 19 เศรษฐกิจของเมืองตกต่ำ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้สถาปัตยกรรมต่างๆนั้นดูสวยงามน้อยลงเลย ผู้คนต่างช่วยกันรักษาให้ยังดูสวยงามมาจนถึงทุกวันนี้

 

Mascaron on a facade near the quay

หนึ่งในจุดเด่นของสถาปัตยกรรมของเมืองบอร์โดนั้น เห็นจะเป็น "Mascarons" หรือ รูปปั้นรูปหน้าคนที่ถูกประดับตกแต่งไว้ที่ด้านหน้าของอาคารหรือตึกต่างๆ วัฒนธรรมในการตกแต่งอาคารแบบนี้ เกิดขึ้นในสมัยก่อนที่คนตั้งใจจะใช้รูปปั้นนี้ในการปัดเป่าปีศาจและวิญญาณร้ายออกไปไม่ให้เข้ามาในตัวอาคารได้ ว่ากันว่าทั้งเมืองบอร์โดนั้น มีรูปปั้นแบบนี้ประดับอยู่ที่หน้าตัวอาคารกว่า 3,000 หน้า แต่ละรูปปั้นมีรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งบางรูปยังมีความหมายอื่นแฝงอีกด้วย

 

3 สถานที่ที่ไม่ควรพลาดที่เมืองบอร์โด

1

GRAND THEATRE (BORDEAUX OPERA HOUSE)

The Opera House ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมือง เดินจากสถานีรถราง Quinconces เพียง 2 นาที อาคารที่สวยงามก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้า อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ในสไตล์นีโอคลาสสิค (Neoclassical Style) และเปิดทำการในปี 1780 ด้านหน้าของตัวอาคารจะเห็นว่ามีเสาต้นใหญ่เรียงรายกันอยู่ มาพร้อมกัขรูปปั้นของเทพธิดาทั้ง 12 รูปตั้งอยู่

 

Grand Staircase of the Opera House

Victor Louis คือสถาปนิคที่เป็นผู้ออกแบบ The Opera House แห่งนี้ และยังเป็นคนเดียวกับที่ออกแบบห้องแสดงผลงานศิลปะรอบๆสวน Palais Royal ที่กรุงปารีสอีกด้วย โรงอุปรากรหรือ The Opera House แห่งนี้ยังเปิดให้บริการจนถึงทุกวันนี้ ถ้าหากใครไม่มีเวลาดูโอเปร่า อาจจะเข้าไปชมตัวอาคารด้านในแทนได้ ห้องโถงบันไดใหญ่นี้ เปิดให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเข้าชมได้ฟรี อีกทั้งด้านในยังร้านอาหาร "Le Quatrième Mur" สำหรับใครที่อยากซึมซับบรรยากาศ ราคาอาหารอาจจะสูงไปหน่อย แต่เมื่อเทียบกับบรรยากาศและการตกแต่งโดยรอบแล้ว ก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคา

 

2

LA CITE DU VIN 

สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ค่อนข้างใหม่ของเมืองบอร์โด อย่างไรก็ตาม La Cité du Vin กลับมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากจนกลายมาเป็นสถานที่ที่พลาดไม่ได้เลยถ้ามาถึงที่เมืองบอร์โดแล้ว ที่นี่เพิ่งเปิดให้บริการในปี 2016 ที่ผ่านมาเท่านั้น เป้าหมายของที่นี่ก็เพื่อจะเป็นพิพิธภัณฑ์ไวน์ที่เป็นที่ 1 ในโลกให้สมกับที่เมืองบอร์โดนั้นมีชื่อเสียงกึกก้องโลกเกี่ยวกับไวน์ นอกจากทำหน้าที่เป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว La Cité du Vin ยังทำหน้าที่เปิดคลาสชิมไวน์อย่าง Wine Tasting Class และสัมนาเกี่ยวกับไวน์อีกด้วย ราคาค่าเข้าคนละ 20€ แถมยังมีไวน์เสิร์ฟให้คนละแก้วที่บาร์ด้านบนสุดของพิพิธภัณฑ์ เรียกว่าพลาดไม่ได้จริงๆ

ถ้าหากอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ La Cité du Vin สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ พิพิธภัณฑ์ไวน์ ณ เมืองบอร์โด BORDEAUX Wine Museum

 

La Bourse / Miroir d'Eau

3

LE MIROIR D'EAU (WATER MIRROR) 

สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด "Miroir d'Eau" เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของเมืองบอร์โดก็ว่าได้ เจ้าน้ำพุกระจกนี้เพิ่งถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2006 เป็นน้ำพุกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ตรงด้านหน้าของจัตุรัส Bourse หรือ Place de la Bourse ที่สวยงามที่สุดของเมืองบอร์โด ที่จัตุรัสแห่งนี้เต็มไปด้วยตึกและอาคารที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18 ทั้งสิ้น

 

 

ที่น้ำพุกระจกนี้กลายเป็นสถานที่ที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นให้มาเดินเล่น นั่งเล่นบริเวณนี้ พร้อมกับชมวิวเมืองที่สวยงามรอบๆ

 

Saint Michel Cathedral Bell Tower

จุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมืองบอร์โด

จุดชมวิวของเมืองบอร์โดนั้นมีนับไม่ถ้วน แต่ถ้าหากพูดถึงสถานที่อันดับต้นๆก็คงหนีไม่พ้นที่ Pey Berland Tower และ Saint Michel Tower ทั้ง 2 ที่นี้คือหอระฆังที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 ที่ Saint Michel Tower จะมีบันได 235 ขั้น ค่าเข้า 5€ เมื่อปีนขึ้นไปถึงด้านบนก็จะพบกับวิวเมืองแบบ 360 องศา ตัวหอระฆังนั้นสูง 114 เมตร สูงพอที่จะเห้นวิวเมืองได้ทั้งหมดทั้งมวล

 

O'bon Paris' tip

เมืองบอร์โดนั้นมีชื่อเสียงเกี่ยวกับไวน์ และแน่นอนว่าจะต้องมีไร่องุ่นอยู่เต็มไปหมด แน่นอนว่าไร่องุ่นเหล่านั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในเมือง แต่มันตั้งอยู่ไกลตัวเมืองออกไปที่แถวๆชานเมือง ถ้าใครอยากไปชมไร่องุ่น มีอยู่ไม่กี่ที่ที่สามารถเดินทางไปถึงได้ด้วยขนส่งสาธารณะ อย่างเช่น Chateau Luchey-Halde (โดยรถรางสาย A สถานี Fontaine d'Arlac) และ Chateau Pape Clement (โดยรถบัสสาย 4 สถานี Le Monteil)

 


เรื่อง: Aphinya Kasemsukphaisan

ภาพ: Vincent Sacau

BORDEAUX เมืองบอร์โด

การเดินทาง: นั่งรถไฟความเร็วสูง TGV จากสถานีรถไฟ Gare Montparnasse ไปยังสถานี Bordeaux Saint-Jean (ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง)

เป็นเมืองตากอากาศที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุด หลีกหนีจากความวุ่นวายในกรุงปารีส อีกทั้งยังเป็นประตูสู่เมืองทางทิศตะวันตกเฉียงใต้อีกด้วย อย่างเช่น Arcachon Bay เป็นต้น