ประเทศฝรั่งเศสที่มีคำขวัญประจำประเทศว่า "Liberty, Equality, Fraternity, and Revolution" นั้น อีกหนึ่งด้านก็เป็นประเทศแห่งความโรแมนติคและยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป รองลงมาจากประเทศรัสเซียและประเทศยูเครน
ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของประเทศฝรั่งเศส ต่างเป็นที่หลงใหลและกล่าวขานไปทั่วโลก ประเทศนี้ไม่ได้มีแค่เพียงหอไอเฟลและพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น หากแต่ว่ายังมีอีกมากมายหลกหลายมุมมองในแต่ละสถานที่และพื้นที่ที่แตกต่างกันออกไป ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปสำรวจและสัมผัส เป็นเหตุให้ประเทศฝรั่งเศสแห่งนี้ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศนี้ได้เป็นจำนวนมาก
ภาษาท้องถิ่น: ภาษาฝรั่งเศส (French)
พื้นที่: 632,834 ตารางกิโลเมตร
ศาสนา: นิกายคาทอลิก นิกายโปรเตสแตนต์ ศาสนาอิสลาม และศาสนายิว
สกุลเงิน: ยูโร (EUR) สัญลัษณ์ €
กระแสไฟฟ้า: 220V
รหัสประเทศ: +33
ประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายในหลากหลายเมือง ไม่ใช่แค่ที่กรุงปารีสเท่านั้น ในแต่ละเมืองแต่ละภาคก็จะมีภูมิประเทศและสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเมืองทางตอนกลาง ตอนใต้ หรือทางทิศตะวันตกของประเทศ
1) ปารีส (PARIS): พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ (Louvre Museum), พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ (Orsay Museum), หอไอเฟล (Eiffel Tower), ย่านเลอมาเรส์ (Marais district), ประตูชัย (Arc de triomphe), ถนนฌ็องเซลิเซ่ (Champs-Elysees Avenue), แม่น้ำแซน (River Seine), โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Cathedral Notre-Dame de Paris), ย่านมงมาร์ต (Montmartre), ย่านกงซีแยร์เฌอรี (Conciergerie), กรองด์ปาเล (Grand Palais), สะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Alexandre III Bridge), จัตุรัสคองคอร์ด (Concorde Square), พิพิธภัณฑ์ทหาร (Invalides Museum), โรงโอเปร่า (Garnier Opera), พิพิธภัณฑ์รอแด็ง (Rodin Museum), สวนลักเซมเบิร์ก (Luxemburg Park), มหาวิทยาลัย Sorbonne University และมหาวิหารแพนธีออน (Pantheon)
1-2) นอกเมืองปารีส: พระราชวังแวร์ซาย (Versailles Palace), พระราชวังฟงแตนโบล (Fontainebleau Castle), โอแวร์ซูร์อัวส์ (Auvers-sur-Oise), เมตซ์ (Metz), จิแวร์นี (Giverny), โปรแวงส์ (Provins), ปราสาทแชนทิลลี (Chantilly Castle), ปราสาทโวเลอวีกงต์ (Vaux le Vicomte Castle) และปราสาทชองบอร์ด (Chambord Castle)
2) มงแซงมิเชล (MONT SAINT MICHEL): อาสนวิหารแซ็ง-ปีแยร์ (Saint Pierre Church), ร้านอาหารไข่ซูเฟล La Mere Poulard และถนนเส้นเล็กๆและตรอกซอกซอยเก่าแก่ต่างๆบนเกาะ
3) แซงมาโล (SAINT MALO): ประตูเมือง Saint Vincent Gate, เกาะ Grand Be, เกาพ Petit Be, สุสาน Chateaubriand, The Quebec House, ร้านอาหาร Galette และ Crepe และไอศกรีม Sanchez
4) อาวีญง (AVIGNON): พระราชวังพระสันตะปาปา (Palais des Papes), สะพานอาวีญง (Saint-Benezet/Avignon Bridge), พิพิธภัณฑ์ศิลปะ Yvon Lambert และเทศกาลภาพยนตร์ในช่วงเดือนกรกรฎาคม
5) นีซ (NICE): ชายหาด Pebble, คาสเซิลฮิลล์ (Castle Hill), คาสเซิลปาร์ค (Castle Park), เขตเมืองเก่า (Old Town), ตลาดกูซาเลย่า (Cours Saleya Market), พิพิธภัณฑ์ศิลปะโมเดิร์นและศิลปะร่วมสมัย (MAMAC), จัตุรัสมาเซน่า (Massena Square), พิพิธภัณฑ์มาร์ค ชากัลล์ (Marc Chagall Museum), เทศกาลคาร์นิวัลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และหมู่บ้านเอซ (Eze Village)
6) เอ็กซองโพรวองซ์ (AIX-EN-PROVENCE): สตูดิโอของ Cezanne (Cezanne Atelier Studio), อนุสาวรีย์เซซาน (Statues of Cezanne), โบสถ์ Saint Sauveur Cathedral, น้ำพุลาโรตองด์ (La Rotonde Fountain), พิพิธภัณฑ์ Vasarely Foundation Museum และ Caumont Art Center
7) สตราสบูร์ก (STRASBOURG): โบสถ์นอร์ทเธอดาม (Cathedral of Notre-Dame), ล่องเรือ Batorama, หมู่บ้านฝรั่งเศส (Petite-France/Little France) และรัฐสภายุโรป (European Parliament)
8) กอลมาร์ (COLMAR): สะพาน Couverts Bridge, อาคารหอคอย (Maison Pfister), ลิตเติ้ลเวนิส (Petit Venice/Little Venice), พิพิธภัณฑ์ Unterlinden และตลาดในร่ม (Colmar Covered Market)
โดยทั่วไปแล้วประเทศฝรั่งเศสมีทั้งหมด 4 ฤดู หากแต่ว่าอากาศจะค่อนข้างแปรปรวนและคาดเดาไม่ได้ และเนื่องจากว่าประเทศฝรั่งเศสมีพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ทำให้ในแต่ละพื้นที่นั้นมีสภาพอากาศที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นแล้วก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวในแต่ละวันแนะนำว่าให้ตรวจเช็คสภาพอากาศก่อนเพื่อเป็นการเตรียมตัวให้พร้อม
วันที่แดดอุ่นๆสาดส่องลงมาในฤดูใบไม้ผลิ: เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม และวันฟ้าใสในฤดูใบไม้ร่วง: เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน
ตั้งแต่ประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงเวลากลางวันจะเริ่มยาวนานขึ้นทำให้สามารถท่องเที่ยวได้สนุกสนานยิ่งขึ้นท่ามกลางอากาศที่ไม่หนาวเย็นจนเกินไปในช่วงเวลากลางวัน แต่เมื่อแสงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปเมื่อไร อากาศก็จะกลับมาหนาวเย็นอีกครั้ง แนะนำว่าให้เสื้อแจ็คเก็ตและร่มติดตัวเอาไว้ด้วยเพื่อป้องกันความหนาวเย็นและฝนที่อาจจะตกลงมาเมื่อไรก็ได้
อากาศร้อนในวันหยุดช่วงซัมเมอร์: เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน
ช่วงฤดูร้อนในประเทศฝรั่งเศสนั้นอากาศจะร้อนแห้ง พระอาทิตย์ส่องแสงแดดอันแรงกล้าจึงต้องไม่ลืมที่จะพกครีมกันแดดและแว่นกันแดดติดตัวไว้เสมอ และร้านอาหารหรือร้านขายของบางที่มักจะปิดให้บริการในช่วงซัมเมอร์ โดยเฉพาะในเดือนสิงหาคมที่เป็นช่วงวันหยุดยาวของประเทศฝรั่งเศส เพราะฉะนั้นเช็คดูดีๆก่อนออกเดินทาง
สภาพอากาศที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวในที่ร่มในฤดูหนาว: เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและในช่วงฤดูหนาว ฝนมักจะตกลงมาบ่อยๆและท้องฟ้ามีเมฆมากทำให้อากาศดูอึมครึมอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ตามอากาศก็จะยังไม่หนาวมากเท่าไรนักเพราะฤดูหนาวของที่นี่อากาศมักจะไม่ตกลงไปต่ำกว่าศูนย์องศา ในช่วงนี้เวลากลางวันจะสั้นลง พระอาทิตย์ขึ้นช้าและตกเร็ว เหมาะที่จะเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวในร่มอย่างเช่นพิพิธภัณฑ์เป็นต้น และควรมีร่มติดตัวเอาไว้เสมอเนื่องจากฝนตกบ่อยในช่วงนี้
ค่าครองชีพที่ประเทศฝรั่งเศสนั้นจะค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรป โดยเฉพาะในกรุงปารีสที่ทั้งที่พักและร้านอาหารจะมีราคาสูงกว่าเมืองอื่นๆ ทั้งนี้ค่าที่พักก็จะขึ้นอยู่กับโลเคชั่นแต่ละที่ในกรุงปารีส ยกตัวอย่างเช่นถ้าหากต้องการพักใจกลางเมือง ค่าที่พักก็จะสูงกว่าที่พักที่อยู่นอกใจกลางเมืองออกไป ร้านอาหารก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นลองเปรียบเทียบราคาที่พักหลายๆที่ก่อนทำการจอง อย่างไรก็ตาม ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆเช่นพิพิธภัณฑ์และโบสถ์มักจะมีส่วนลดสำหรับนักเรียนเสมอ ใครที่ยังถือบัตรนักเรียนอยู่ก็อย่าลืมนำติดตัวมาด้วยเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวไปในตัว โดยค่าใช้จ่ายต่อวันในการท่องเที่ยวที่ประเทศฝรั่งเศสจะอยู่ที่ประมาณ 120-170€ ต่อคน ไม่รวมค่าที่พัก
อาหารฝรั่งเศสเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นอาหารที่มีความคลาสสิคและหรูหรา อีกทั้งยังสื่อให้เห็นวัฒนธรรมของประเทศฝรั่งเศสได้อย่างชัดเจน นอกจากนั้นแล้วอาหารของแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหลักในพื้นที่นั้นๆ ไกด์มิชลินที่ทุกคนรู้จักกันดีก็ถือกำเนิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสมากว่าร้อยปีแล้วด้วย ทำให้วัฒนธรรมอาหารของประเทศฝรั่งเศสนั้นค่อนข้างมีความโดดเด่นในตัวของมันเอง บอกได้เลยว่าประสบการณ์การรับประทานอาหารฝรั่งเศสนั้นจะทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืม
1) CONFIT DE CANARD: เนื้อเป็ดสไตล์ฝรั่งเศส อาหารขึ้นชื่อจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส โดยมีต้นกำเนิดมาจากการที่ชาวฝรั่งเศสต้องการที่จะเก็บรักษาอาหารให้สามารถอยู่ได้นานขึ้น จนกระทั่งเวลาผ่านไป การเก็บรักษาอาหารก็กลายมาเป็นการปรุงอาหารเมนูขึ้นชื่อในปัจจุบันนี้
2) GALETTE: มีลักษณะคล้ายกับเครปที่มักจะรับประทานเป็นของหวาน หากแต่ Galette นี้เป็นอาหารคาวที่มีต้นกำเนิดมาจากแคว้นบริททานี (Brittany) คุณสามารถเลือกได้ว่าต้องการใส่อะไรบ้างใน Galette ตามเมนูของร้านต่างๆ โดยวัตถุดิบส่วนใหญ่ที่นิยมรับประทานกันก็คือไข่ แฮม ชีส เห็ด และหัวหอม เป็นต้น
3) CHOUCROUTE: เซาเออร์เคราท์เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวอัลซาส (Alsace) เกิดจากการหมักดองกะหล่ำปลีจนได้ที่ นิยมรับประทานคู่กับเนื้ออัลซาส ปลา เบียร์ หรือไวน์ขาว
4) FOIE GRAS: ฟัวกราส์มักจะถูกนำมารับประทานกันในวันหยุดของชาวฝรั่งเศส ทำมาจากตับห่านหรือตับเป็ด นิยมรับประทานกันเป็น Appetizer กับขนมปังหรือรับประทานคู่กับสเต็กเป็นจานหลัก
5) ESCARGOTS: เมนูที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสเลยก็คือเอสคาโกหรือหอยทากนั่นเอง มักจะเสิร์ฟมาในถาดหลุมจำนวน 6 หรือ 12 ตัว และจะมีคีมจับหอยทากมาคู่กันเพื่อให้สามารถรับประทานได้สะดวกยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการปรุงเอสคาโกนั้นคือตัวหอยจะถูกดึงออกมาจากเปลือกเพื่อทำความสะอาดและปรุงรสให้เข้าเนื้อ หลังจากนั้นจึงนำตัวหอยกลับเข้าไปในเปลือกอีกครั้งก่อนยกมาเสิร์ฟ
6) SOUPE A L'OIGNON: ซุปหัวหอมนั้นเต็มไปด้วยหัวหอม ขนมปัง และชีส มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยโรมัน เรียกได้ว่าเป็น Appetizer ที่เหมาะจะรับประมานในวันที่อากาศหนาวเย็นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
7) RACLETTE: แรคเล็ตเป็นอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ มักจะเสิร์ฟในขณะที่ชีสยังร้อนและเหนียวนุ่ม รับประทานคู่กับมันฝรั่ง แฮม และแตงกวาดอง
8) BOEUF BOURGUIGNON: หนึ่งในเมนูโฮมเมดชื่อดังของชาวแคว้นเบอร์กันดี (Burgundy) คือสตูว์เนื้อตุ๋นไวน์แดง ที่นำเนื้อวัวไปตุ๋นกับน้ำซุปและไวน์แดง ตามด้วยแครอท หัวหอม กระเทียม เห็ด และเครื่องเทศต่างๆเพื่อเพิ่มรสชาติ ปัจจุบันนี้ Boeuf Bourguignon สามารถหารับประทานได้ทั่วไปตามร้านอาหารทั่วประเทศฝรั่งเศส
9) MAGRET DE CANARD: เมนูนี้เป็นการนำส่วนหน้าอกของเป็ดมาปรุงอาหาร เป็นอีกหนึ่งในเมนูชื่อดังของประเทศฝรั่งเศส นิยมรับประทานคู่กับไวน์แดงจากเมืองบอร์โด (Bordeaux)
10) BOUILLABAISSE: เมนูนี้คือสตูว์ปลาที่ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองมาร์กเซย (Marseille) โดยการเสิร์ฟจะแบ่งออกเป็น 2 ครั้ง ซุป ซอส และขนมปังจะถูกนำมาเสิร์ฟก่อน หลังจากนั้นเนื้อปลาจะถูกเสิร์ฟตามมาในจานแยก
11) VIN FRANCAIS: นอกจากอาหารก็มีเครื่องดื่มที่จะขาดไม่ได้เลยเมื่อมาเยือนประเทศฝรั่งเศส นั่นก็คือไวน์ฝรั่งเศสนั่นเอง ไวน์ฝรั่งเศสนั้นไม่ได้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเท่านั้นหากแต่ว่าเป็นที่นิยมในชาวฝรั่งเศสเอง รวมไปถึงผู้คนในทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย ได้มาเยือนประเทศฝรั่งเศสทั้งทีต้องรับประทานอาหารพร้อมจิบไวน์สักมื้อ โดยคุณสามารถสอบถามพนักงานร้านอาหารได้เลยว่าไวน์ชนิดไหนเหมาะที่จะดื่มคู่กับอาหารจานไหน
12) DESSERT: นอกจากอาหารและไวน์ ที่ขาดไม่ได้ก็ถือขนมหวาน โดยขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสที่ได้รับความนิยมคือมาการอง (Macaron), เอแคลร์ (Eclair), มิลเฟย (Mille Feuille), เครป (Crepe) และอีกมากมาย
การเดินทางโดยขนส่งสาธารณะในประเทศฝรั่งเศสโดยทั่วไปแล้วราคาจะอยู่ที่ประมาณ 2€ ต่อเที่ยว ขึ้นอยู่กับสถานที่และเมืองที่ไป รถไฟใต้ดินหรือที่เรียกกันว่าเมโทร และรถบัสจะให้บริการเป็นปกติในวันธรรมดาและจะมีรอบให้บริการที่น้อยลงในวันหยุดเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ในวันธรรมดาโดยปกติแล้วเมโทรและรถบัสจะให้บริการจนถึงเวลาประมาณเที่ยงคืน หลังจากนั้นจะมี Night Bus หรือ NOCTILIEN ให้บริการในช่วงเวลาหลังจากเที่ยงคืนเป็นต้นไป
1) การเดินทางไปยังเมืองอื่นๆในฝรั่งเศส
รถไฟ: บริษัทที่ให้บริการรถไฟของประเทศฝรั่งเศสคือบริษัท SNCF โดยมีรถไฟที่ให้บริการหลักๆคือรถไฟความเร็วปกติ TER วิ่งระหว่างเมืองใกล้ๆ และรถไฟความเร็วสูง TGV วิ่งระหว่างเมืองระยะไกล โดยตั๋วรถไฟทั้ง 2 ประเภทสามารถซื้อล่วงหน้าได้ผ่านเว็บไซต์ OUI.SNCF หรือซื้อที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติตามสถานีรถไฟได้เลย ในกรณีที่ซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์แล้ว คุณสามารถปริ้นตั๋วออกมาถือหรือจะดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นของ SNCF เอาไว้ในมือถือก็ได้
รถบัส: การเดินทางไปยังเมืองต่างๆ นอกจากรถไฟแล้วยังมีอีกหนึ่งตัวเลือกนั่นก็คือรถบัสที่มีหลากหลายบริษัทที่เปิดให้บริการไม่ว่าจะเป็น FlixBus, OUIBUS, isilines และอีกมากมาย อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ GoEuro เปิดให้คุณเข้าไปค้นหารอบรถและเปรียบเทียบราคาของบริษัทรถบัสหลากหลายเจ้า และสามารถเลือกซื้อรอบรถที่มีราคาเหมาะสมที่สุดได้เลย
2) การเดินทางในกรุงปารีส
การเดินทางภายในกรุงปารีสโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินหรือเมโทร หรือถ้าหากต้องการที่จะชมบรรยากาศรอบๆเมืองก็สามารถใช้บริการรถบัสได้ ทั้งนี้การเดินทางด้วยเมโทรจะเร็วกว่าและใช้เวลาน้อยกว่ารถบัส
ตั๋ว t+: ทั้งเมโทรและรถบัสจะใช้ตั๋วประเภทเดียวกันนั่นก็คือตั๋ว t+ ราคา 1.90€ ต่อเที่ยว (สามารถใช้กับรถแทรมได้เช่นกัน) ตั๋วสามารถซื้อได้ที่เครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติในทุกๆสถานีเมโทร มีหลากหลายภาษาให้เลือกรวมไปถึงภาษาอังกฤษ แต่ถ้าหากคุณยังไม่มีตั๋วแต่ต้องการจะขึ้นรถบัส สามารถซื้อตั๋วกันคนขับรถบัสได้เลยแต่ว่าจะมีราคาที่แพงกว่า เพราะฉะนั้นแนะนำว่าให้ซื้อตั๋วเผื่อเอาไว้ในเวลาที่จำเป็น ในกรณีที่ต้องใช้บริการขนส่งสาธารณะในการเดินทางบ่อยๆ แนะนำว่าให้ซื้อตั๋วประเภท Carnet ประกอบไปด้วยตั๋ว t+ 10 ใบ ราคา 14.90€ หรือตั๋วประเภท Mobilis สำหรับเดินทางใน 1 วันแบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง ทั้งนี้ราคาขึ้นอยู่กับจำนวนโซนการเดินทางที่เลือกซื้อ มีให้เลือกตั้งแต่โซน 1-5 ราคาเริ่มต้นที่ 7.50€
บัตร NAVIGO: บัตร Navigo เป็นบัตรรายสัปดาห์หรือรายเดือน เหมาะสำหรับใครที่วางแผนจะมาเที่ยวในกรุงปารีสมากกว่า 1 สัปดาห์ ตั๋วรายสัปดาห์ราคา 22.80€ และตั๋วรายเดือนราคา 75.20€ ข้อจำกัดของบัตร Navigo นั้นอยู่ที่ตั๋วรายสัปดาห์จะสามารถเริ่มใช้ได้ในวันจันทร์และหมดอายุลงในวันอาทิตย์ ดั่งเช่นตั๋วรายเดือนที่จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนนั้นๆไปจนสิ้นสุดเดือน โดยจะไม่ได้เริ่มนับในวันที่เริ่มต้นใช้บัตรแต่อย่างใด และถ้าหากต้องการจะใช้บัตร Navigo จะต้องติดรูปลงไปในบัตรเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของด้วย มิเช่นนั้นถ้าหากโดนเจ้าหน้าที่ตรวจแล้วไม่มีรูปติดที่บัตรอาจจะโดนเสียค่าปรับได้เพราะถือว่าเป็นการถือบัตรแบบผิดกฎหมาย ถ้าหากใครไม่ได้พกรูปติดตัวมา สามารถไปตามสถานีเมโทรใหญ่ๆที่จะมีตู้ถ่ายรูปติดบัตรวางไว้ให้บริการ เข้าไปถ่ายรูปแล้วติดลงไปในบัตรได้เลยแบบรวดเร็วทันใจ
การเดินทางจากสนามบิน PARIS CHARLES DE GAULLE ไปยังใจกลางเมือง
รถบัสสนามบิน: รถบัส Roissy Bus วิ่งจากสนามบินเทอมินอล 1, 2 และ 3 ไปยังใจกลางเมือง จอดที่ Opera Garnier ราคาคนละ 12.50€ ถ้าหากคุณถือบัตร Navigo หรือ Paris Visite Pass สามารถขึ้นรถบัสได้ฟรีโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
รถไฟ RER: นอกจากนั้นคุณยังสามารถนั่งรถไฟ RER สาย B เพื่อเข้าไปยังใจกลางเมืองปารีสได้เช่นกัน โดยรถไฟ RER สาย B นี้จะวิ่งจากสนามบินตรงเข้าไปยังใจกลางเมืองที่จะมีสถานีเชื่อมต่อกับสถานีเมโทรต่างๆมากมาย คุณสามารถซื้อตั๋วได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติได้เลยโดยใช้บัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต ถ้าหากต้องการซื้อตั๋วโดยใช้เงินสดจะต้องซื้อกับเจ้าหน้าที่เท่านั้น รถไฟจะมีทั้งหมด 2 ประเภท แบบที่จอดทุกๆสถานีหรือแบบ Express ที่จะจอดแค่บางสถานีและวิ่งยาวตรงเข้าสู่ใจกลางเมือง โดยรถไฟแบบ Express จะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินทางไปยังสถานี Chatelet-Les Halles ราคาสำหรับผู้ใหญ่จะตกอยู่ที่คนละ 10.30€ และเด็กอายุระหว่าง 4-9 ปี ราคา 7€
รถแท็กซี่: รถแท็กซี่จากสนามบินเข้าไปยังใจกลางเมืองจะมีราคาที่กำหนดเอาไว้แล้ว ถ้าหากต้องการเดินทางไปยังทางตอนเหนือของแม่น้ำแซนราคาจะอยู่ที่ 50€ และทางตอนใต้ของแม่น้ำแซน 55€ ทั้งนี้อาจจะมีค่ากระเป๋าเพิ่มเติมขึ้นมาถ้าหากคุณเดินทางด้วยกระเป๋าใบใหญ่ ถ้าหากต้องการเรียกแท็กซี่แนะนำว่าให้เรียกกับเจ้าหน้าที่สนามบินที่ท่ารถแท็กซี่ที่จัดเตรียมเอาไว้ให้เท่านั้น อย่าไปตามคำเรียกของคนขับแท็กซี่ที่ยืนอยู่ตามพื้นที่สนามบินเพราะคุณอาจจะโดนหลอกและต้องจ่ายเงินค่าแท็กซี่ที่แพงเกินไปแบบไม่รู้ตัว และถ้าหากต้องการจ่ายเงินสดควรเตรียมจำนวนเงินที่พอดีเอาไว้ในกรณีที่คนขับแท็กซี่ไม่มีเงินทอน
การเดินทางจากสนามบิน PARIS ORLY ไปยังใจกลางเมือง
รถบัสสนามบิน: รถบัส Orly Bus วิ่งจากสถานีเมโทร Denfert-Rochereau ไปยังเทอมินอล West และ South ใช้เวลาประมาณ 30-35 นาที ราคาคนละ 8.30€ บัตร Navigo สามารถขึ้นได้ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
รถไฟ: นอกเหนือจากรถบัสก็ยังมีเมโทร Orlyval ที่คุณสามารถนั่งตรงจากสนามบินไปยังสถานี Antony และต่อรถไฟ RER สาย B ไปยังใจกลางเมือง ราคาทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 12.50€ หรืออีกหนึ่งตัวเลือกก็คือนั่ง Shuttle Bus ไปยังสถานี Pont de Rungis จากทางออก C เทอมินอล South หรือทางออก G เทอมินอล West หลังจากนั้นต่อรถไฟ RER สาย C ราคาทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 6.25€
รถแท็กซี่: ราคาแท็กซี่จากสนามบินเข้าไปยังใจกลางเมืองจะมีราคาที่กำหนดเอาไว้แล้ว โดยจะอยู่ที่ประมาณ 30-35€ ข้ึนอยู่กับจุดมุ่งหมายที่คุณต้องการเดินทางไป
3) สถานที่นอกเมืองปารีสที่สามารถไปได้ด้วยบัตร NAVIGO
พระราชวังแวร์ซาย (Versailles Palace): นั่งรถไฟ RER สาย C ไปยังสถานี Gare de Versailles Chateau Rive Gauche หลังจากนั้นคุณสามารถเดินไปยังพระราชวังแวร์ซายได้โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที หรือจะนั่งรถบัสสาย 171 จากสถานี Pont de Sevres ก็ได้มุ่งตรงไปยังพระราชวังแวร์ซายเลยก็ได้
โอแวร์ซูร์อัวส์ (Auvers-Sur-Oise): นั่งรถไฟ Transilien สาย H จากสถานีรถไฟ Gare du Nord ไปยังสถานี Gare de Persan Beaurmon หลังจากนั้นเปลี่ยนไปสาย H-TSOL นั่งต่อไปยังสถานี Gare d'Auvers-Sur-Oise ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงในการเดินทาง
ปราสาทแชนทิลลี (Chantilly Castle): นั่งรถไฟ RER สาย D จากสถานี Gare de Lyon, Chatelet-Les Halles หรือ Gare du Nord ไปยังสถานี Chantilly-Gouvieux ใช้เวลาประมาณ 45 นาที
ปราสาทโวเลอวีกงต์ (Vaux le Vicomte Castle): นั่งรถไฟ Transilien สาย P จากสถานี Gare de l'Est ไปยังสถานี Verneuil-l'Etand ใช้เวลาประมาณ 35 นาที หลังจากนั้นนั่ง Shuttle Bus Châteaubus ไปยังปราสาท ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ตั๋วรถ Châteaubus สามารถซื้อได้แบบไปกลับ และต้องใช้เงินสดเท่านั้น
โปรแวงส์ (Provins): นั่งรถไฟ Transilien สาย P จากสถานี Gare de l'Est ไปยังสถานี Gare de Provins ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
พระราชวังฟงแตนโบล (Fontainebleau Castle): นั่งรถไฟ Transilien สาย R จากสถานี Gare de Lyon ไปยังสถานี Fontainebleau Avon ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
4) ท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับหรือเดินทางตอนกลางคืนจากกรุงปารีส
มงแซงมิเชล (Mont Saint Michel): นั่งรถไฟความเร็วสูง TGV จากสถานีรถไฟ Gare Montparnasse ไปยังสถานี Mont-Saint-Michelใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง หรือนั่งรถบัส FlixBus หรือ OUIBUS ใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง อีกหนึ่งทางเลือกคือเลือกซื้อทัวร์จากบริษัท PARISCityVISION ที่มีหลากหลายตัวเลือกและบริการ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง, การเดินทางพร้อมที่พัก, การเดินทางพร้อมที่พักและไกด์ทัวร์ส่วนตัวและอีกมากมาย เมื่อคุณเดินทางไปถึงสถานีรถไฟ มี 3 ทางเลือกให้เลือกในการเดินทางไปยังวิหารกลางน้ำโดยคุณสามารถเดินเท้าได้โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที นั่งรถ Shuttle Bus ฟรี วิ่งทุกๆ 5-10 นาที หรือจะเป็นการเช่าจักรยานจากที่พักเพื่อปั่นไปยังตัววิหาร
แซงมาโล (Saint-Malo): นั่งรถไฟความเร็วสูง TGV จากสถานีรถไฟ Gare Montparnasse ไปยังสถานี Saint-Malo ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นสามารถเดินเท้าจากสถานีรถไฟไปยังเขตเมืองเก่า ใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที หรือจะนั่งรถบัสได้โดยใช้เวลาประมาณ 7 นาที แนะนำว่าให้เดินทางมายังแซงมาโลพร้อมๆกับท่องเที่ยวที่มงแซงมิเชล เนื่องจากทั้ง 2 ที่นี้อยู่ห่างกันเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
รูอ็อง (Rouen): นั่งรถไฟจากสถานีรถไฟ Gare Saint-Lazare ไปยังสถานี Rouenใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
โดวิลล์ (Deauville): นั่งรถไฟจากสถานีรถไฟ Gare Saint-Lazare ไปยังสถานี Trouville-Deauville ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
สตราสบูร์ก (Strasbourg): นั่งรถไฟความเร็วสูง TGV จากสถานีรถไฟ Gare de l'Est ไปยังสถานี Strasbourg ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหรือรถไฟ OUIGO จากสนามบิน Paris Charles de Gaulle เทอมินอล 2 ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังสามารถเดินทางด้วยรถบัส ใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง
กอลมาร์ (Strasbourg-Colmar): นั่งรถไฟความเร็วสูง TGV จากสถานีรถไฟ Gare de l'Est ไปยังสถานี Colmar ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงหรือนั่งรถบัส FlixBus จากสถานีรถบัส Bercy ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังสามารถเดินทางไปยังกอลมาร์ต่อไปได้จากเมืองสตราสบูร์ก โดยนั่งรถไฟจากสถานีรถไฟ Gare de Strasbourg ไปยังสถานี Gare de Colmar ใช้เวลาประมาณ 30 นาที นอกจากนั้นยังสามารถนั่งรถบัส OUIBUS จาก Plac de l'Etoile ได้เช่นกัน
5) การเดินทางในเมืองทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส
การเดินทางจากกรุงปารีสไปยังเมืองทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส สามารถเดินทางได้โดยรถไฟความเร็วสูง TGV หรือรถบัส สำหรับรถไฟสามารถนั่งรถไฟจากสถานี Gare de Lyon โดยใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถ้าหากเป็นรถบัสจะมีราคาที่ถูกกว่าแต่จะใช้เวลานานกว่า ประมาณ 7-8 ชั่วโมง ที่เมืองมาร์กเซย (Marseille), อาวีญง (Avignon), นีซ (Nice) และเอ็กซองโพรวองซ์ (Aix-en-Provence) จะไม่ได้มีรอบรถบัสให้บริการมากเท่าที่กรุงปารีส โดยส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจะเช่ารถขับเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ สำหรับใครที่ไม่ต้องการขับรถหรือไม่สะดวก แนะนำว่าให้ตรวจเช็ครอบรถบัสให้ถี่ถ้วนก่อนออกเดินทาง โดยรถบัสมักจะมาทุกๆ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
การเดินทางจากสนามบิน MARSEILLE PROVENCE ไปยังใจกลางเมือง
รถบัสสนามบิน: รถบัสจากสนามบินจะวิ่งทุกๆ 20 นาทีไปยังสถานี Saint Charles สถานีใจกลางเมือง ราคาผู้ใหญ่อยู่ที่ 8.30€ อายุระหว่าง 12-25 ปี 5.80€ และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 4.50€ ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีในการเดินทาง
นอกจากนั้นแล้วยังมีรถบัสจากสนามบิน Marseille วิ่งตรงไปยังเมืองเอ็กซองโพรวองซ์อีกด้วย
สำหรับนักเรียนที่เดินทางท่องเที่ยว อย่าลืมถือบัตรนักเรียนแบบ International Student Card ติดตัวมาด้วย เพราะที่นี่มีส่วนลดหลากหลายสำหรับผู้ที่ถือบัตรนักเรียน สอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับส่วนลดสำหรับนักเรียนได้ก่อนทำการซื้อตั๋ว นอกจากนั้นแล้ว ผู้ที่ถือบัตรนักเรียนสำหรับโรงเรียนในประเทศฝรั่งเศสหรือประเทศอื่นๆในยุโรป หรือมีอายุต่ำกว่า 26 ปี บางสถานที่ท่องเที่ยวจะเปิดให้เข้าชมได้ฟรี
เนื่องจากประเทศฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวมากมายหลากหลายจากทั่วทุกมุมโลก และยิ่งมากขึ้นในช่วงไฮซีซั่น โดยเฉพาะในช่วงซัมเมอร์ ดังนั้นถ้าหากคุณวางแผนการท่องเที่ยวมาเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ทำการซื้อตั๋วเข้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆล่วงหน้าเอาไว้เลย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการต่อคิว
อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่ชอบพิพิธภัณฑ์คือ Paris Museum Pass ที่เป็นบัตรที่ให้คุณสามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์กว่า 60 แห่งได้ฟรี อาทิเช่นพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ พิพิธภัณฑ์ออร์เซย์ พระราชวังแวร์ซาย ประตูชัย และอีกมากมาย โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งและคุณสามารถเข้าชมได้เลยโดยไม่ต้องต่อคิวเข้า ก่อนที่จะใช้บัตร Paris Museum Pass นี้ อย่าลืมเขียนชื่อนามสกุลของคุณและวันที่ลงไปด้วย
ประเทศฝรั่งเศสใช้สกุลเงินเดียวกันกับประเทศอื่นๆในยุโรป นั่นก็คือ EUR (€) หรือยูโร นับว่าค่อนข้างสะดวกสบายเลยทีเดียว เพราะไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินให้ยุ่งยากเมื่อต้องเดินทางท่องเที่ยวต่อไปยังประเทศอื่นๆในยุโรป ร้านอาหารบางร้านในประเทศเนเธอร์แลนด์รับเฉพาะบัตรเครดิต/เดบิตเท่านั้น เพราะฉะนั้นอย่าลืมเตรียมบัตรเครดิต/เดบิตไว้ให้พร้อมด้วย
1) LAULHERE Beret: สัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสนั่นก็คือหมวกเบเร่ต์ โดยหมวกเบเร่ต์ของ Laulhere นั้นเป็นหมวกเบเร่ต์ฟรีไซส์สำหรับทุกช่วงวัย เดินเที่ยวในกรุงปารีสพร้อมหมวกเบเร่ต์สุดเก๋ บอกได้เลยว่าเข้ากันกับสถานที่สุดๆ
2) Striped shirts SAINT JAMES: หมวกเบเร่ต์ต้องสวมใส่คู่กับเสื้อลายทาง Saint James ที่เป็นอีกหนึ่งสัญลัษณ์ของประเทศฝรั่งเศส สามารถใส่ได้ทุกช่วงวัยหรือจะใส่กันเป็นทีมกับเพื่อนๆหรือครอบครัวก็น่ารักไปอีกแบบ
3) GIEN Monument Mini-plates: เหล่าเครื่องจานสไตล์ฝรั่งเศสจาก Gien ที่มีมากว่า 200 ปีตั้งแต่ปี 1821 Gien เป็นผู้ผลิตเครื่องจาน Luxury เจ้าแรกในประเทศฝรั่งเศส เครื่องจานเหล่านี้จะทำให้โต๊ะอาหารของคุณน่ารักและอาหารดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
4) Soap: สบู่ก้อนที่ทำมาจากส่วนประกอบหลักจากธรรมชาติก็เป็นอีกหนึ่งของที่ระลึกน่าซื้อติดไม้ติดมือกลับไป โดยแบรนด์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ Sabon de Marseille ที่มีสบู่ก้อนกลิ่นลาเวนเดอร์เป็นกลิ่นซิกเนเจอร์
5) The Little Prince items: นิทานเรื่องเจ้าชายน้อยหรือ The Little Prince เป็นนิทานที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกและถูกแปลไปแล้วหลากหลายภาษา โดยรูปเจ้าชายน้อยถูกนำไปทำเป็นของที่ระลึกมากมายไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าดินสอ กระเป๋าผ้า แก้วกาแฟ เครื่องเขียน เสื้อผ้าเด็ก ลูกบอลหิมะ และอีกมากมาย
6) Cosmetics: เครื่องสำอางและสกินแคร์แบรนด์ดังมากมาย ส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์จากประเทศฝรั่งเศสทั้งสิ้น อาทิเช่น Avene, Bioderma, Uriage, Nuxe, Eucerin และ Darphin เป็นต้น สินค้าของแบรนด์เหล่านี้มักจะหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปและที่ Monge Beauty Shop ในกรุงปารีส เอ็กซองโพรวองซ์ และคานส์ ที่มีหลากหลายแบรนด์ให้เลือกซื้อ ถ้าหากไม่รู้จะซื้ออะไรดี ลองไปอัพเดตข้อมูลเครื่องสำอางและสกินแคร์น่าซื้อได้ อีกทั้งยังมีคูปองส่วนลดอีก 10% จาก O'bon Paris
7) MARIAGE FRERES tea: ใครที่ชอบดื่มชาต้องลองชาจาก Mariage Freres ที่มีชาจากทั่วทุกมุมโลกให้เลือกสรรรวมไปถึงอุปกรณ์สำหรับดื่มชาอีกมากมาย
8) KUSMI Tea: อีกหนึ่งแบรนด์ชาดังที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากชาที่หอมและได้คุณภาพ รวมไปถึงแพ็คเกจสุดเก๋ที่เหมาะสำหรับซื้อฝากหรือซื้อเก็บไว้เป็นของที่ระลึกจากประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งยังมีอุปกรณ์สำหรับชงชาและดื่มชาหลากหลายประเภท
9) FAUCHON: แบรนด์ขนมหวานที่มีหน้าตาและแพ็คเกจที่น่ารักและหรูหรา สินเค้ายอดนิยมของฝรั่งเศสก็มีให้เลือกเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นขนม Madeleine, Galette, คุกกี้, ชา, ไวน์ และอีกมากมาย
10) REPETTO: รองเท้าส้นแบนเป็นที่นิยมสวมใส่กันในผู้หญิงชาวฝรั่งเศส เพื่อความคล่องตัวและสะดวกสบาย แรกเริ่มเดิมทีแบรนด์ Repetto ได้ทำการขายรองเท้าบัลเล่ต์เป็นสินค้าหลัก แต่หลังจากนั้นได้ทำการขยายไลน์สินค้ามาทำรองเท้าหลากหลายประเภทมากขึ้น รวมไปถึงรองเท้าผู้ชายด้วย
11) Lavender products from Southern France: สินค้าประเภทสกินแคร์ต่างๆที่ทำมาจากลาเวนเดอร์ หรือว่าจะเป็นสบู่ เครื่องเทศ เทียนหอม และอีกมากมายมักจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และหาซื้อได้ทั่วไปโดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส
12) French wine: ประเทศฝรั่งเศสมีภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และวัตถุดิบหลักที่เหมาะสำหรับการทำไวน์ ทำให้ไวน์เป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาช้านานจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ไวน์สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆหรือร้านขายไวน์
13) Articles of food from Aix-en-Provence: สินค้าจากเมืองเอ็กซองโพรวองซ์นั้นส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ทำมาจากวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในพื้นที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันมะกอกหลากหลายประเภท (น้ำมันมะกอกกลิ่นทรัฟเฟิล), แยมผลไม้ (ราวเบอร์รี่ ช็อกโกแลต เกาลัด), เกลือ Camargue กลิ่น Black Truffle และอีกมากมาย
ที่ประเทศฝรั่งเศส การจะขอการคืนภาษีหรือ Tax Refund ได้นั้นจะต้องซื้อสินค้ารวมในราคา 175€ ขึ้นไป ต้องมีอายุมากกว่า 16 ปีและเดินทางมาท่องเที่ยวยุโรปในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ในบางครั้ง เจ้าหน้าที่อาจจะมีการขอตรวจสินค้าที่ซื้อมาจึงต้องเตรียมพร้อมแสดงสินค้าแก่เจ้าหน้าที่เสมอ
เมื่อคุณซื้อสินค้าในราคา 175€ ขึ้นไปหรือราคารวมต่อหนึ่งใบเสร็จมีมูลค่าเกิน 175€ คุณสามารถขอแบบฟอร์มเอกสารประกอบการขอ Tax Refund ได้จากพนักงานในร้าน อย่างไรก็ตามให้ลองสังเกตหน้าร้านดูก่อนว่ามีสติกเกอร์ Tax Refund หรือสอบถามพนักงานว่าสามารถขอ Tax Refund ได้หรือไม่ โดยการขอ Tax Refund นั้นมีทั้งหมด 2 ทางหลักๆด้วยกันนั่นก็คือการขอคืนเป็นเงินสดที่ซึ่งสามารถรับเงินคืนได้เลยที่สนามบิน หรือขอเงินคืนเข้าบัตรเครดิตซึ่งจะใช้เวลานานกว่าประมาณ 1 เดือน
ถ้าหากคุณเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศในยุโรปหลายๆประเทศและประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศสุดท้ายก่อนที่คุณจะเดินทางออกจากทวีปยุโรป คุณจะต้องทำการขอ Tax Refund ที่ประเทศฝรั่งเศสที่เดียวเท่านั้น และควรจะทำ Tax Refund ก่อนที่จะเช็คอินและโหลดกระเป๋า เพราะถ้าหากคุณโหลดกระเป๋าไปก่อนแล้วแต่เจ้าหน้าที่ต้องการให้คุณแสดงสินค้าที่คุณซื้อมา อาจจะเป็นเรื่องยุ่งเอาที่คุณไม่สามารถแสดงสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ได้
ในกรณีที่คุณต้องการขอ Tax Refund คืนในรูปแบบของเงินสด คุณจะต้องนำแบบฟอร์มไปรับการแสตมป์จากเจ้าหน้าที่ก่อน หลังจากนั้นให้ไปที่เคาน์เตอร์ Remboursement Detaxe Vat Refund เพื่อรับเงินสดคืน
ในกรณีที่คุณต้องการขอ Tax Refund คืนในรูปแบบของเงินเข้าบัตรเครดิต คุณจะต้องไปที่เครื่องอัตโนมัติที่เรียกว่า Pablo เพื่อนำแบบฟอร์มไปสแกน ถ้าหากแบบฟอร์มขึ้นหน้ายิ้มทั้งหมด นั่นแปลว่าแบบฟอร์มถูกสแกนสำเร็จแล้ว แต่ถ้าหากได้รับหน้าร้องไห้กลับมาให้คุณนำแบบฟอร์มนั้นไปรับแสตมป์จากเจ้าหน้าที่ หลังจากนั้นนำแบบฟอร์มนั้นใส่ซองและนำไปหย่อนตู้ที่เตรียมเอาไว้ให้
สำหรับใครที่ต้องการทำ Tax Refund อย่าลืมเผื่อเวลาที่สนามบินล่วงหน้าก่อนเวลาเครื่องออกประมาณ 3-4 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงไฮซีซั่น เพราะคิวทำ Tax Refund อาจจะยาวเกินกว่าที่คุณคาดเอาไว้และอาจจะใช้เวลานานจนทำให้คุณไม่ทันขึ้นเครื่องเอาได้ง่ายๆ
ที่ประเทศฝรั่งเศสไม่มีธรรมเนียมการให้ทิปในร้านอาหาร หากแต่ว่าค่าบริการนั้นได้รวมไปแล้วในบิล อย่างไรก็ตาม คนท้องถิ่นยังมีการให้ทิปอยู่บ้างตามโอกาสและความเหมาะสม
เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต่างมุ่งหน้ามาที่ประเทศฝรั่งเศส ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวนั้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจำนวนของเหล่ามิจฉาชีพที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้วคุณจำเป็นต้องระมัดระมังกระเป๋าและของมีค่าของคุณอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ และกล้องถ่ายรูป นอกจากตามท้องถนนที่ต้องระมัดระวังแล้ว สถานที่อื่นๆที่ควรระวังก็คือสถานีเมโทร ในรถเมโทร สถานที่ที่คนแน่นเบียดเสียด หรือแม้กระทั่งโต๊ะร้านอาหารกลางแจ้ง และพื้นที่สุ่มเสี่ยงที่เต็มไปด้วยมิจฉาชีพก็คือย่านมงมาร์ต (Montmarte), บริเวณสถานีรถไฟ Gare de l'Est และบริเวณสถานีรถไฟ Gare du Nord ในเวลากลางคืน
ถ้าหากคุณเดินทางพร้อมกระเป๋าใบใหญ่ สถานีเมโทรส่วนใหญ่จะไม่มีลิฟท์และบันไดเลื่อนทำให้การขนย้ายกระเป๋าเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและอาจจะทำให้คุณไม่ทันระวังกระเป๋าถือใบเล็กหรือทรัพย์สินอื่นๆได้ ทางที่ดีถ้าหากมีทางเลือก แนะนำว่าให้เดินทางด้วยรถบัสจะดีกว่าเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในการขนย้ายกระเป๋าและผู้คนที่เบียดเสียด
ห้องน้ำสาธารณะตามท้องถนนส่วนมากจะต้องจ่ายเงินและมักจะไม่สะอาด แนะนำว่าก่อนออกจากโรงแรม ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ หรือห้างสรรพสินค้าให้เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนออกเดินทางอีกครั้ง ในกรณีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่าง McDonald's หรือ Burger King หรือร้านกาแฟอย่าง Starbucks จะต้องใส่โค้ดก่อนเข้าห้องน้ำ รหัสจะถูกปริ้นอยู่บนใบเสร็จเพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งด่วนทิ้งใบเสร็จไปเสียก่อน
ภาษาฝรั่งเศสน่ารู้
สวัสดี: Bonjour
ขอบคุณ: Merci
ขอโทษ: Pardon, Je suis désolé.
ใช่ / ไม่: Oui / Non
ดี / ดีมาก: Bien / Très bien
อาหารจานไหนขายดีที่สุด?: Quel est le plat le plus commandé dans ce restaurant?
เช็คบิลด้วย: L'addition, s'il vous plaît.