หลังจากเข้าชม ถ่ายรูปที่คาซ่าบัตโล่ (Casa Batllo) และคาซ่ามิล่า (Casa Mila) สถาปัตยกรรมชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกโดยเกาดี้ (Gaudi) จนหนำใจแล้ว แวะมาเติมพลังที่ร้านทาปาส La Pepita ที่มีการตกแต่งร้านสุดแหวกแนว โดยชื่อร้านนั้น ถูกตั้งตามชื่อแซนด์วิช เมนูอาหารเช้าชื่อดังของประเทศสเปน โดย Andreu และ Sofia ได้ทำการปรับเปลี่ยนชื่อนิดหน่อยให้ฟังดูมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น จาก "Pepito" เป็น "Pepita"
ภายในร้านตกแต่งได้อย่างสดใสและดูเป็นกันเอง เหล่าลายมือที่เห็นตามกำแพงร้านนั้นต่างเป็นโน้ตที่ลูกค้าจากทั่วทุกมุมโลกที่เคยแวะเวียนเข้ามารับประทานอาหารที่ La Pepita เขียนทิ้งเอาไว้ พนักงานในร้านเป็นกันเองและใส่ใจในการให้บริการ และจากบริการที่คุณได้รับรวมไปถึงข้อความต่างๆที่ถูกเขียนทิ้งไว้ ก็จะสังเกตุเห็นได้เลยว่าทางร้านให้ความสำคัญในการสื่อสารกับลูกค้าเป็นอย่างมาก เมื่อเดินเข้ามาด้านในก็จะพบกับโต๊ะบาร์พร้อมเก้าอี้สูงเป็นอย่างแรก พร้อมกับโต๊ะอีกมากมายที่ด้านใน พื้นที่ในร้านไม่ได้กว้างขวางใหญ่โตมากนัก หากแต่ว่าเต็มไปด้วยบรรยากาศที่สนุกสนาน
วัฒนธรรมการรับประทานทาปาส (Tapas) ของประเทศสเปนนั้น เป็นที่นิยมแพร่หลายกันไปทั่วโลก โดยทาปาสคืออาหารจานเล็ก เสิร์ฟมาในปริมาณที่เหมาะสม ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ประเทศสเปนนั้นเต็มไปด้วยทาปาสบาร์และร้านทาปาสนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม เมนูทาปาสที่ร้าน La Pepita นั้นมีความแตกต่างจากทาปาสร้านอื่นๆ โดยที่นี่ไม่ได้ปรุงทาปาสขึ้นมาตามต้นฉบับอาหารสเปน หากแต่มีการคิดค้นเมนูใหม่ๆ ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป บวกกับแรงบันดาลใจจากวัตถุดิบต่างๆจากทั่วทุกมุมโลก รับรองได้เลยว่า La Pepita จะเสิร์ฟเมนูทาปาสที่คุณหารับประทานที่ไหนไม่ได้แล้วทั่วโลก นอกจากที่นี่
นอกจากนั้นทางร้านยังมีไวน์ไว้ให้บริการ รวมไปถึงเครื่องดื่มต่างๆมากมาย โดยมี Gin & Tonic เป็นเครื่องดื่มขายดีของทางร้าน
เมนูทางด้านซ้ายมือในภาพคือขนมปังสูตรพิเศษของทาง La Pepita ท็อปปิ้งด้วยปลาแอนโชวี่ (Anchovy) ชิ้นใหญ่ สามารถสั่งได้ทีละชิ้นเพื่อมาลิ้มลองหรือจะครั้งละหลายๆชิ้นถ้าหากติดใจ ตัวปลาและขนมปังถูกราดด้วยซอสครีมข้นหวาน มาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะนึกรสชาติไม่ออก หากแต่ว่าพอกัดเข้า ความหวานและความเค็มนั้นเข้ากันได้อย่างลงตัว ไม่มีความคาวจากตัวปลาเลยแม้แต่นิดเดียว
มาถึงจานทางด้านขวามือที่มีเป็นเจ้ามะเขือม่วงรมควัน แล้วนำไปทอด วางทับลงไปบนชีสนมแพะ (Goat cheese) และราดด้วยน้ำผึ้ง ด้านบนมีการนำแอปเปิ้ลที่ถูกฝากออกเป็นชิ้นบางๆ มาวางเป็นท็อปปิ้ง เพื่อเพิ่มเติมรสชาติรวมไปถึงเนื้อสัมผัสที่กรุบกรอบ สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับชีสนมแพะ อาจจะลองเริ่มต้นรับประทานที่เมนูนี้ได้ มะเขือม่วงทอดกรอบตัดกับความหวานของน้ำผึ้งและความเปรี้ยวของแอปเปิ้ลสด เข้ากันดีเหลือเกิน
หนึ่งในเมนูที่ต้องลองรับประทานเมื่อมาถึงที่ La Pepita แล้วก็คือเมนูนี้เลย โดยมีปลาซีบาส (Sea Bass) ที่ถูกหมักแบบดั้งเดิมในนำ้ส้มสายชูเป็นเวลา 12 ชั่วโมงและทิ้งไว้อีก 12 ชั่วโมงเพื่อให้รสชาตินั้นออกมาอย่างพอดิบพอดี หลังจากนั้นจึงยกมาเสิร์ฟคู่กันกับผลสตรอว์เบอร์รี่สด ผักโขม นำ้มันมะกอก และพริก Piquillo ถึงแม้ว่าเนื้อปลาจะไม่ได้ถูกปรุงสุก แต่กลับไม่มีกลิ่นคาวเลย อีกทั้งยังมีเนื้อสัมผัสที่นุ่มละลายในปาก เหมาะสำหรับเป็นเมนูแนะนำประจำร้านอย่างมากเลยทีเดียว
หอยเชลล์ที่ถูกย่างจนหอม ถูกวางมาบนกะหล่ำดาว (Brussels Sprout) เพื่อเพิ่มรสสัมผัสที่กรุบกรอบตัดกับเนื้อสัมผัสอันอ่อนนุ่มของหอยเชลล์ ตัวซอสมีการนำกิมจิ อาหารประจำประเทศเกาหลีมาปรับแต่ง เปลี่ยนให้เป็นครีมซอสกิมจิ ตกแต่งจานด้วยข้าวโพดอ่อนที่มีความหวานตัดกับความเปรี้ยวของซอส จานนี้จึงเรียกได้ว่ามีทุกเนื้อสัมผัสและรสชาติรวมกันอยู่ในจานเดียว
หนึ่งในเมนูทาปาสที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในประเทศสเปนคือปลาหมึกชุบแป้งทอดหรือ Calamari นั่นเอง โดยส่วนมากแล้วเจ้าปลาหมึกนี้มักจะดูมันเลื่อมเมื่อถูกนำไปทอด แต่ไม่ใช่ Calamari ที่ La Pepita อย่างแน่นอน เจ้าปลาหมึกชุบแป้งทอดจานนี้มีความกรอบนอกนุ่มใน ไม่มันจนเกินไปและไม่มีกลิ่นคาวเลย เจ้าปลาหมึกเมื่อถูกยกมาใส่ในจานก็ถูกซอสมายองเนสกิมจิราดตามไปติดๆ ไอเดียในการนำกิมจิเข้ามาปรุงอาหารเป็นไอเดียของ Sofia หนึ่งในเจ้าของร้าน La Pepita ที่หลงใหลในรสชาติของกิมจิ โดยซอสมายองเนสกิมจิจะช่วยเพิ่มรสชาติเปรี้ยวอมเผ็ดนิดๆ ช่วยตัดเลี่ยนกับเจ้าปลาหมึกทอดได้เป็นอย่างดี
อีกหนึ่งอย่างที่พลาดไม่ได้เลยคือแฮมฮามอน (Jamon)! โดย Iberian Jamon ถือว่าเป็นที่สุดของแฮมฮามอนแล้ว และที่ La Pepita ก็ได้นำเจ้าแฮมฮามอนนี้มาพันเข้ากับคร็อกเก้ (Croquette) ที่ทอดจนเหลืองกรอบ เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มรสชาติให้คร็อกเก้ที่ดูจะธรรมดา ให้กลายเป็นไม่ธรรมดาได้อย่างง่ายดาย
นอกจากเมนูที่กล่าวถึงไปในข้างต้นแล้วนั้น ยังมีอีกหลากหลายเมนูนับไม่ถ้วนให้ได้เลือกรับประทานกัน ทางร้านมีทั้งเมนูอาหารกลางวัน สลัด จานเรียกน้ำย่อย ของหวาน และเครื่องดื่ม อีกทั้งยังมีเมนูมังสวิรัติอีกด้วย เรียกได้ว่ามีทุกอย่างที่ต้องการ นอกจากเมนูสลัดปลาซีบาสและปลาแอนโชวี่แล้ว เมนูอื่นๆจะถูกเสิร์ฟในปริมาณเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตาม คุณสามารถสั่งได้ว่าต้องการปริมาณปกติหรือเพียงแค่ครึ่งเดียวสำหรับบางเมนู เพื่อเป็นการเผื่อพื้นที่ในกระเพาะให้ได้ลิ้มลองอาหารจานอื่นๆด้วย ราคาอาหารที่นี่มีราคาที่สมเหตุสมผลในปริมาณที่เหมาะสม ถ้าหากต้องการจะลิ้มลองทาปาสรสชาติใหม่ๆที่แตกต่างจากที่อื่น แนะนำที่ La Pepita ที่นี่เลย
เรื่อง: Aphinya Kasemsukphaisan
ภาพ: Yuna Lee
ที่อยู่: Carrer de Còrsega, 343, 08037 Barcelona, Spain
การเดินทาง: เมโทรสถานี Diagonal (สาย L3 และ L5) หรือสถานี Verdaguer (สาย L4 และ L5)
เวลาทำการ: ร้านอาหารเปิดทุกวัน 13:00-16:00 และ 19:30-00:00 / บาร์ วันจันทร์ถึงวันศุกร์ 10:00-01:00 วันเสาร์และอาทิตย์ 12:00-01:00