Le Marais หรือ เลอมาเร่ส์ เป็นย่านหนึ่งในปารีสที่ยังคงรักษาสภาพเเวดล้อมต่างแบบปาครีเซียงไว้ได้เป็นอย่างดี เเละด้วยเหตุนี้เองย่านนี้จึงเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวและชาวปารีสเองนั้นมักจะเเวะเวียนมาเยี่ยมชม อยู่เสมอๆ เพื่อให้การเดินเยี่ยมชมย่านมาเร่ส์นั้นง่ายยิ่งขึ้น เราจึงขอทำการรวบรวมและจัดทำแผนที่การเดินเล่นในย่านนี้ให้ทุกคนได้นำไปตามรอยกัน เเละเพื่อให้ง่ายต่อการสำรวจพื้นที่นี้มากยิ่งขึ้น
ผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านมาเร่ส์ได้ให้คำยืนยันกับเรามาว่าในย่านมาเร่ส์มีเรื่องราว เเละอะไรใหม่ๆให้ค้นหา ติดตามอยู่ทุกวัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอบคุณเรื่องราวประวัติศาสตร์ ที่มาของสถานที่ เเละผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้ อย่างที่ได้กล่าวไปว่าย่านนี้มีอะไรใหม่ๆให้น่าค้นหาอยู่เรื่อยๆ เราเลยถือโอกาสนี้ทำการรวบรวมและเรียงลำดับการเดินเที่ยวในย่านมาเร่ส์มาให้ทุกคนได้เอาไปปรับใช้กันตามสะดวก จุดเริ่มต้นของการเดินจากในเเผนที่ คือ สถานีเมโทร Saint Paul [1] จากสถานีเมโทรก็เดินต่อไปยังถนนซึ่งเต็มไปด้วยร่องรอยของศตวรรษที่ 17 เพื่อชื่นชมซากกำแพงเมืองปารีส [2] ใกล้ๆกันนั้นคุณจะได้พบกับโบสถ์เซ็นเซนต์ปอลซึ่งจะเป็นทางเดินต่อไปยัง คฤหาสน์ "Hôtel de Sully" [3] (62 Rue Saint-Antoine) ซึ่งเป็นทางเดินเชื่อมไปที่ลานสวนสาธารณะที่ชื่อว่า Place des Vosges [4] หากย้อนกลับไปเมื่อ 300 ปีที่แล้วก็คงต้องบอกว่าพื้นที่ตรงนี้เปรียบได้กับถนนฌ็องเซลิเซ่ในปัจจุบัน ถือว่าเป็นเเหล่งชอปปิ้งที่ชาวปารีสผู้มั่งคั่งมักเเวะเวียนมาในอดีตอยู่บ่อยๆ บริเวณ Place des Vosges มีพื้นที่จัดสรรไว้สำหรับนั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ หากใครต้องการเเวะเวียนมารับประทานอาหารเช้าก็สามารถเข้าไปได้ที่คาเฟ่CARETTE ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากลานสาธารณะเเห่งนี้ เดินต่อไปทางทิศเหนือคุณก็จะได้พบกับร้านขายสินค้าดีไซน์เก๋ที่มีชื่อว่า MERCI [5] และใกล้กันนั้นก็เป็นที่ตั้งของอีกหนึ่งคาเฟ่น่ารักๆอย่าง BOOT CAFE [6] นั่นเอง หากอิ่มเอมกับการชอปปิ้งและกลิ่นกาแฟเรียบร้อย ก็แนะนำให้เดินต่อไปที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะปิกัสโซ [7] ซึ่งรวบรวมผลงานของศิลปินชื่อดังอย่างปีกัสโซไว้มากมาย หลังจากนั้น หากยังต้องการเดินชอปปิ้งต่อก็ขอแนะนำถนนที่มีชื่อว่า Rue des Francs Bourgeois [8] ซึ่งเป็นศูนย์รวมร้านค้าดีไซน์เก๋ไว้มากมาย เมื่อเสร็จสิ้นจากการเลือกซื้อสินค้า ก็พากันเดินไปยังถนนอีกหนึ่งสายที่มีชื่อว่า Rue des Rosiers [9] ซึ่งนับได้ว่าเป็นย่านศูนย์รวมชาวยิวในมาเร่ส์ ถนนสายนี้เป็นเส้นที่ค่อนข้างเงียบ สงบ และหากใครที่มีเวลาเหลือเฟือ พอที่จะต่อคิวเเละลิ้มรสของแซนด์วิชสไตล์ยิวเราขอแนะนำให้เข้าไปที่ร้าน “l’AS DU FALLAFEL” หลังจากอิ่มเอมกับอาหารและการชื่นชมพื้นที่รอบบนถนนเส้นนี้เเล้ว คุณจะสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังถนน Rue des archives [10] ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านรวงต่างๆของชาวเกย์ ร้านต่างๆเหล่านี้ตกแต่ง ประดับประดาไปด้วยธงสีรุ้งซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ LGBT เมื่อเดินต่อมาเรื่อยก็จะได้พบกับห้างสรรพสินค้า LE BHV MARAIS [11] ซึ่งเป็นแหล่งชอปปิ้งที่เต็มไปด้วยร้านค้าเเบรนด์ดังต่างๆมากมาย ด้านหลังตึกหลักห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ คือ ถนนที่มีชื่อว่า Rue de la Verrerie เป็นที่ตั้งของแผนกเสื้อผ้าและเครื่องใช้สำหรับคุณผู้ชาย และมีส่วนหนึ่งจัดเป็นพื้นที่วางขายสินค้าของสัตว์เลี้ยงนั่นเอง เมื่อสิ้นสุดจากการชอปปิ้งที่ LE BHV MARAIS เราขอให้คุณมุ่งตรงไปที่ "Hôtel de Ville" [12] หรือศาลากลางของเมืองปารีสนั่นเอง ที่จุดนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่เหมาะกับการเก็บภาพที่ระลึกเป็นอย่างยิ่ง และหลังจากการเก็บภาพที่บริเวณนี้คุณสามารถขึ้นไปยังหอคอย Tour Saint Jacques [13] เพื่อชื่นชมกับวิวของมาเร่ส์เเละปารีส หากแต่การจะขึ้นไปยังหอคอยนี้นั้นต้องทำการจองล่วงหน้า อาจจะมีขั้นตอนยุ่งยากที่ต้องเตรียมการแต่รับรองว่าไม่ผิดหวังเเน่นอน หากไม่ต้องการวุ่นวายเตรียมการจองอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่เเพ้กัน คือ รูฟท็อปบาร์ของห้าง BHV นั่นเอง บาร์แห่งนี้มีชื่อว่า LE PECHOIR ซึ่งเป็นบาร์ที่จะทำให้คุณได้เห็นวิวของปารีสแบบพาโนรามาอย่างสวยงาม และนี่ก็คือภาพรวมคร่าวๆของการเดินเที่ยวรอบๆย่านมาเร่ส์ ต่อไปเราจะพาไปดูว่ามีอะไรให้ทำกันอีกบ้างในย่านนี้
เมื่อมาถึงย่านมาเร่ส์แล้ว กิจกรรมที่ห้ามพลาดเลย ก็คือ การชอปปิ้งนั่นเอง ภายในบริเวณมาเร่ส์นี้มีทั้งแบรนด์ดังๆ และโลคัลเเบรนด์จากปารีสเอง เพื่อเป็นตัวช่วยของคุณ เราถือโอกาสทำลิสต์มาเเชร์กันด้านล่างนี้เลย
ในย่านมาเร่ส์นี้ เป็นที่ตั้งของศูนย์ชอปปิ้ง Merci ซึ่งรวบรวมสินค้าเก๋ๆเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้าน เสื้อผ้าและเครื่องประดับต่างๆ สินค้ายอดฮิตที่สุดในศูนย์ชอปปิ้งนี้ก็คงจะเป็นถุงผ้า และสร้อยข้อมือซึ่งนักเที่ยวนิยมซื้อเป็นของฝาก ของที่ระลึกจากกรุงปารีสนั่นเอง
MERCI
ที่อยู่ : 111 Boulevard Beaumarchais, 75003 Paris
เวลาทำการ : วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 10:00-19:30 / ปิดทุกวันอาทิตย์
ร้านนี้มีชื่อว่า KILO SHOP ซึ่งเป็นศูนย์รวมสินค้าวินเทจ ราคาไม่เเพงแต่เต็มไปด้วยสดตล์และความเก๋ เช่นเดียวกันกับร้านชั่งกิโลในบ้านเรา ราคาของเสื้อผ้าที่นี่จะคิดเป็นกิโล ตามน้ำหนักของเสื้อผ้าที่คุณเลือก
KILO SHOP
ที่อยู่ : 69-71 Rue de la Verrerie, 75004 Paris
เวลาทำการ : วันจันทร์ถึงวันศุกร์ 11:00-19:30 / วันเสาร์ 11:00-19:45 / วันอาทิตย์ 14:00-19:30
สถานที่สามที่เราจะเเนะนำให้รู้จัก คือ Le BHV Marais ซึ่งเปิดทำการมาตั้งเเต่ปี 1856 ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เป็นที่รู้จักดีในหมู่ชาวปารีส เป็นห้างสรรพสินค้าที่รวบรวมเเบรนด์นานาชาติชั้นนำไว้มากมาย มีสินค้าตั้งเเต่เสื้อผ้า เเฟชั่น ศิลปะ อาหารและของเบ็ดเตล็ด ต่างๆ รวมไปถึงอาหารและร้านขายหนังสือ หากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับห้างสรรพสินค้านี้ คลิ๊กอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่
นอกจากร้านค้าเหล่านี้แล้ว คุณยังสามารถพบกับร้านรวงต่างๆรอบห้างสรรพสินค้าเเห่งนี้ได้อีกด้วย โดยเฉพาะถนน Rue des Francs Bourgeois และถนน Rue Vieille du Temple ชอปปิ้งกันเพลินไปเลย
LE BHV MARAIS
ที่อยู่ : 52 Rue de Rivoli, 75004 Paris
เวลาทำการ : วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 9:30 - 20:00 / วันอาทิตย์ 11:00 - 19:30
หากพูดถึงรายชื่อร้านอาหารและเมนูน่ากินในย่านนี้ ต้องบอกเลยว่าเยอะแยะมากมาย เเต่ไม่ต้องกังวลไป เราได้ทำการคัดเลือกเมนูน่าลองมาให้ในบทความหน้านี้แล้ว
สำหรับมื้อเช้าคุณสามารถเลือกทานขนมปังซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสได้ ไม่ว่าจะเป็นครัวซองต์หรือPain au chocolat หากต้องการสร้างความสนุกสนานให้กับการรับประทานอาหารก็สามารถเข้าไปที่ร้านขายขนมปังที่มีชื่อว่า LEGAY CHOC ซึ่งเป็นร้านที่สร้างสรรค์ขนมปังที่สร้างอารมณ์ขันให้กับผู้ที่ผ่านไปมา รูปทรงของขนมปังมีลักษณะคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศชายซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจจะเป็นอิทธิพลจากความจริงทีว่าตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมาย่านมาเร่ส์ได้หลายมาเป็นศูนย์รวมของชาวรักร่สมเพศ และมีธุรกิจเเละร้านค้ามากมายที่เปิดขึ้นภายใต้คอนเซ็ป LGBT
LEGAY CHOC
ที่อยู่ : 45 Rue Sainte-Croix de la Bretonnerie, 75004 Paris
เวลาทำการ : วันจันทร์, วันพุธถึงวันอาทิตย์ 7:00-20:00 / ปิดทุกวันอังคาร
สำหรับมื้อกลางวันเราขอแนะนำอาหารของชาวยิว ซึ่งเมนูที่เเนะนำ คือ "Fallafel" เมนูนี้เป็นแซนด์วิชมังสวิรัติ ที่มีส่วนผสมของถั่วหัวช้างหรือชิกพีที่ปั้นเป็นก้อนเเล้วน้ำไปทอด พร้อมด้วยผักต่างๆ L’As du Fallafel คือร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในย่านนี้และเป็นที่รู้กันดีว่ามักจะมีคนยืนรอต่อคิวที่ด้านหน้าร้านอยู่ตลอดเวลา สำหรับใครที่ไม่อยากเสียเวลายืนต่อคิวและต้องการอาหารมื้อหนักเรามีตัวเลือกให้เป็นร้านอาหารอย่าง Les Pinces ซึ่งเน้นเมนูลอบสเตอร์และสเต็กเป็นหลัก หรือหากต้องการทานอาหารฝรั่งเศสเเถบเบอร์กันดีก็สามารถไปลิ้มรสกันได้ที่ร้าน Au Bourguignon du Marais
L'AS DU FALLAFEL
ที่อยู่ : 32-34 Rue des Rosiers, 75004 Paris
เวลาทำการ : วันอาทิตย์ถงึวันพฤหัสบดี 12:00-23:00 /วันศุกร์ 12:00-16:00 / วันเสาร์ 18:30-23:00
LES PINCES
ที่อยู่ : 29 Rue du Bourg Tibourg, 75004 Paris
เวลาทำการ : วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี 19:00-22:30 / วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ 12:30-14:20 และ 19:00-22:30
AU BOURGUIGNON DU MARAIS
ที่อยู่ : 52 Rue François Miron, 75004 Paris
เวลาทำการ : ทุกวัน 12:00-23:00
สำหรับใครที่ชื่นชอบการจิบชายามบ่าย เราขอแนะนำร้าน Carette ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางเดินซุ้มโค้งใกล้กลับลาน Place des Vosges ราคาของเครื่องดื่มและอาหารในร้านนี้อาจจะมีราคาค่อนข้างสูงหน่อยอันนี้เราต้องขอบอกล่วงหน้าเอาไว้ก่อน หากใครต้องการทานไอศกรีมเย็นๆในย่านมาเร่ส์ก็ถือว่าเหมาะเลย เพราะมีไอศกรีมร้านอร่อยตั้งอยู่รอบๆมากมายเช่น Bachir, Pozzetto, La Glacerie เป็นต้น หากสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้านไอศกรีมก็คลิ๊ก ที่นี่ ได้เลย
CARETTE
ที่อยู่ : 25 Place des Vosges, 75003 Paris
เวลาทำการ : ทุกวัน 7:30-24:00
หากต้องการไปชิลในคาเฟ่สุดฮิตในปารีส อีกร้านหนึ่งที่เราขอแนะนำ คือ ร้าน Boot Café ซึ่งตั้งอยู่ไม่ใกล้จากศูนย์ชอปปิ้ง Merci ร้านนี้จะมีป้ายสัญลักษณ์ขนาดใหญ่เขียนว่า CORDONNERIE อยู่ที่หน้าร้าน คาเฟ่ร้านนี้มีเมนูกาแฟ ทั้งร้อนเเละเย็น รวมไปถึงชาเเละเค้กต่างๆให้บริการ ใครอยากนั่งทานในร้านก็ย่อมได้ หรือจะซื้อเป็นเทคอะเวเพื่อเดินต่อในมาเร่ส์ก็ได้เช่นกัน
BOOT CAFE
ที่อยู่ : 19 Rue du Pont aux Choux, 75003 Paris
เวลาทำการ : ทุกวัน 10:00-17:00
ในย่านมาเร่ส์นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจมากมาย ซึ่งล้วนเเล้วเเต่เป็นผลพวงจากเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์นั่นเอง
Marais ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง หนองน้ำ หรือบึง สาเหตุที่บริเวณนี้มีชื่อเรียกว่า มาเร่ส์ นั้นก็เนื่องมาจากในศตวรรษที่ 12 นั้น บริเวณนี้เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นเขตเมืองปารีสสิ้นสุดที่บริเวณนี้นี่เอง ดังนั้นเมื่อได้เดินมาเที่ยวในย่านมาเร่ส์ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจที่จะเดินมาชื่นชมซากของกำเเพงที่บริวเณถนน Rue Charlemagne ซึ่งได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ณ ช่วงเวลาในอดีตนั้น ประชากรชาวปารีสมีอยู่เพียงแค่ 60 000 คนเท่านั้น
Marais เริ่มได้รับการปรับปรุงดูแลให้มีความเจริญมาขึ้นในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 16 และ ศตวรรษที่ 17 กษัตริย์เฮนรี่ที่ 4 ได้ทำการปรับปรุงให้ย่านนี้กลายมาเป็นย่านการค้าของเมืองปารีส โดยการปรับปรุงลาน Place des Vosges ให้กลายมาเป็นศูนย์กลางของการติดต่อหรือการดำเนินเรื่องต่างๆของราชวงศ์ ปัจจุบัน Place des Vosges ได้กลายมาเป็นสถานนที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจของชาวปารีสในช่วงฤดูร้อน อาคารต่างๆรอบบริเวณนี้เป็นอาคารที่ได้รับการปรับปรุงโดย Hausmann ในยุคศตวรรษที่ 19 ซึ่งทำให้ตึกต่างๆสะท้อนความเป็นปารีสให้กับย่านนี้ได้อย่างแท้จริง
หากเดินไปยังลาน Place des Vosges เราขอมอบภารกิจให้คุณได้ลองเดินตามหากราฟฟิตีที่เก่าเเก่ที่สุดในย่านนี้ ซึ่งเป็นการสลักลงไปบนเสาหินว่า 1764 Nicolas รอยสลักนี้ตั้งอยู่ที่เสาต้นที่ 11 ของ Place des Vosges นับได้ว่าเป็นกราฟฟิตีที่เก่าเเก่ที่สุดในบริวเณนี้ก็ว่าได้
ในช่วงยุครุ่งเรือง Marais คือสถานที่เหล่าคนร่ำรวยเเละกลุ่มคนอัจฉริยะมารวมตัวกัน ชาวปารีสที่มีความมั่งคั่งจะมี Hôtel Particulier หรือคฤหาสน์หรูเป็นของตัวเองในย่านนี้ Hôtel de Sens ดังที่เห็นในภาพด้านบนนั้นก็นับเป็นหนึ่งในคฤหาสน์หรูที่เคยเป็นที่อยู่ของเหล่าผู้มั่งคั่งในอดีต คฤหาสน์ Hôtel de Sully ก็นับเป็นอีสถานที่หนึ่งที่มีชื่อเสียงเเละควรเเวะผ่านเข้าไปชื่นชมความงดงาม
ในศตวรรษที่18 และ 19 เหล้าผู้ดี ผู้มั่งคั่งร่ำรวยเริ่มโยกย้ายออกจากย่านมาเคร่ ทำให้ย่านนี้เริ่มกลายเป็นบริเวณที่ยากจนเเละไม่ได้หรูหราเช่นเคย เหล่าผู้อพยพจากฝั่งยุโรปตวันออก โดยเฉพาะชาวยิวเริ่มย้ายเข้ามาอาศัยในบริเวณนี้ตั้งเเต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 20 แม้ว่าชาวยิวจำนวนมากจะถูกขับไล่เเละถูกฆ่าโดยกลุ่มนาซีในช่วงสงครามโลก แต่ย่านมาเร่ส์ก็ยังถือได้ว่าเป็นศูนย์รวมชาวยิวขนาดใหญ่ในช่วงนั้น โดยเฉพาะบนถนน Rue des Rosiers ซึ่งสังเกตได้จากร้านอาหาร และร้านต่างๆที่มีอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมยิวนั่นเอง นอกจากนี้คุณยังจะสามารพบกับ Agoudas Hakehilos Synagogue ซึ่งเป็นโบสถ์ของชาวยิวได้ที่ 10 rue Pavée อีกด้วย
ตั้งเเต่ช่วงปี 1970 ย่านมาเร่ส์ได้กลายมาเป็นย่านเเฟชั่นเเลศิลปะสุดฮิตในกลุ่มชาวปารีส ศิลปิน ดีไซเนอร์และร้านค้าต่างๆเข้ามาเปิดในย่านนี้กันมากขึ้น ดังนั้นหากคุณเป็นเเฟนของงานศิลปะ เเละชื่นชอบหารเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ สนใจการเดินชมพิพิธภัณฑ์ เราเชื่อว่าคุณจะสามารถสนุกสนานไปกับการเเสดงงานศิลปะที่บริเวณ Place des Vosges และเอ็นจอยไปกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะต่างๆ เช่น Musée Carnavalet ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของเมืองปารีส หรือพิพิธภัณฑ์ปีกัสโซ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณของคฤหาสน์เก่าที่มีชื่อว่า Hôtel Salé โดยภายในพิพิภัณฑ์นี้เต็มไปด้วยผลงานศิลปะจำนวนมาก และมีการจัดนิทรรศการหมุนเวียนไปมาทุกๆปี หากใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ปีกัสโซ สามารถคลิ๊กเข้าไปได้ ที่นี่
พิพิธภัณฑ์ปีกัสโซ
ที่อยู่ : 5 Rue de Thorigny, 75003 Paris
เวลาทำการ : วันอังคารถึงวันอาทิตย์ 10:30-18:00 (วันหยุดเปิดให้บริการตั้งเเต่ 09:30)
ก่อนจะปิดท้ายบทความนี้ เราขอนำเสนออีกหนึ่งสถานที่ที่ซ่อนตัวอยู่ในย่านมาเร่ส์ เป็นที่ซึ่งผู้คนจำนวนมากเดินผ่านไปมา สถานที่นี้ คือ หอคอย Saint Jacques (Tour Saint Jacques) นั่นเอง หอคอยนี้เป็นหอนาฬิกาของโบสถ์โกธิคในศตวรรษที่ 16 โบสถ์นั้นถูกทำลายไปในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส หอคอยแห่งนี้มีความสูง 54 เมตร หากขึ้นไปด้านบน คุณจะได้พบกับวิวของกรุงปารีสเเละย่านมาเร่ส์เเบบงดงาม หากเเต่อุปสรรคก็คือ หอคอยนี้เปิดให้สำหรับกรุ๊ปเล็กเท่านั้น เเละจะเปิดให้เข้าไปชมได้เเค่ช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนตุลาคมของแต่ละปี (สามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ หรือไปจองโดยตรงได้ที่ 39 rue de Rivoli แต่ต้องเผื่อเอาไว้ว่าหอคอยนี้เปิดให้สำหรับกรุ๊ปจำนวนจำกัด)
สุดท้ายนี้ เราขอย้ำว่าบนถนนในย่ามาเร่ส์ คุณจะได้พบกับศิลปะตลอดเส้นทางการเดิน ตัวอย่างของศิลปินที่ฝากผลงานสตรีทอาร์ทสุดน่ารักที่เรายกมาวันนี้ มีชื่อว่า Invader โดยชื่อจริงของเขา คือ Franck Slama ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีบนเส้นทางศิลปะ เขาผู้นี้ได้สร้างสรรค์ผลงานจากกระเบื้องโมเสคกว่า 3000 ชิ้น โดยเขาได้ฝากร่องรอยผลงานไว้ในหลากหลายประเทศทั่วโลก โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ภาพสัตว์หรือตัวเอเลี่ยนจากกระเบื้องโมเสค ภาพที่เห็นด้านบนก็เช่นกัน นอกจากนี้เขายังคิดค้นแอพพลิเคชั่นชื่อว่า Flashinvaders ซึ่งเป็นเกมที่คุณสามารถสเเกนตัวการ์ตูนต่างๆที่เป็นงานสตรีทอาร์ทของเขาเพื่อเก็บเป็นเเต้มสะสมไปเรื่อยๆ
ภาพถ่ายและเรื่อง : O'bon Paris Team
ภาพวาด : Fangfang