นับตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินพ้นประตูเข้ามา ก็รู้สึกเหมือนเดินเข้าเครื่องย้อนเวลากลับมาในสมัยก่อน ไม่แน่ใจว่าการตกแต่งแบบนี้ตั้งใจให้ออกมาดูเหมือนโรงละครหรูหราสมัยเก่าหรือจริงๆแล้วมันอาจจะเป็นพระราชวังเก่าแก่มาก่อนก็ได้ กำแพงถูกตกแต่งด้วยรูปแกะสลัก โคมไฟแชนเดอร์เลียร์ ภาพวาดบนผนัง รูปปั้น เคลือบด้วยสีทองเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งร้าน บางทีก็ทำให้รู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ที่พระราชวังแวร์ซาย (Château de Versailles) หรือพระราชวังฟงแตนโบล (Château de Fontainebleau) อย่างไรอย่างนั้น ร้านอาหารนี้มีลูกค้าประจำเป็นถึง Coco Chanel เลยทีเดียวที่คอยเทียวไปเทียวมาเรื่อยในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20
บรรยากาศแบบนี้ที่เห็นคือร้านอาหาร "Le Train Bleu" ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นเหมือนร้านอาหารในพระราชวัง ให้บรรยากาศเหมือนรับประทานอาหารอยู่ในห้องโอ่โถงตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหรา เมื่อมองไปรอบๆก็จะเห็นได้ว่าพนักงานที่ร้านทุกคนไม่ว่าจะหญิงหรือชายนั้นต่างแต่งตัวเรียบง่ายแต่สง่างาม ดูเหมาะสมกับสถานที่เสียเหลือเกิน เมื่อมาถึงแล้วก็ได้รู้ว่าที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ร้านอาหารธรรมดาที่แค่ตกแต่งในสไตล์หรูหรา หากแต่ว่ากลับให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในยุคสมัยของ "La Belle Époque" ที่ถ้าจินตนาการภาพขึ้นมาในหัวก็จะเห็นเหล่าขุนนางมากหน้าหลายตา แต่งตัวสวยงามบ่งบอกถึงฐานะในสมัยนั้น มานั่งรับประทานอาหารร่วมกันพร้อมสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับศิลปะ การเมือง และชีวิตประจำวัน
พนักงานที่นี่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น และทำการแนะนำเมนูอาหารอย่างละเอียด ตัดเรื่องความกังวลใจว่าจะสื่อสารไม่เข้าใจไปได้เลย เพราะถึงแม้ว่าพนักงานจะเป็นคนฝรั่งเศสแต่ทุกคนล้วนสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และในแต่ละจาน พนักงานเสิร์ฟก็จะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันออกไป เช่น พนักงานเสิร์ฟที่รับผิดชอบในส่วนของ Appetizer ในส่วนของไวน์ ในส่วนของจานหลัก และในส่วนของของหวาน
หลังจากที่สั่งอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไวน์แดงก็ถูกนำมาเสิร์ฟเป็นเครื่องดื่มก่อนที่จะเริ่มมื้ออาหาร เป็น Aperitif ก่อนที่จากเรียกน้ำย่อยจะถูกยกมาเสิร์ฟ
เมื่อมาถึงประเทศฝรั่งเศสก็อดไม่ได้ที่จะลองลิ้มชิมรสฟัวกราส์กันสักหน่อย และพอได้ลองก็เข้าใจแล้วว่าทำไมชาวฝรั่งเศสถึงติดใจกันนักหนา ฟัวกราส์นี้เป็นตับเป็ด เสิร์ฟมาพร้อมกับขนมปังกรอบเพื่อรับประทานคู่กัน อีกทั้งยังมี Mango Chutney เสิร์ฟเคียงกันเพิ่มรสเปรี้ยวให้กับฟัวกราส์จานนี้เพื่อไม่ให้เลี่ยนจนเกินไป
อีกหนึ่งจานเรียกน้ำย่อยถูกยกมาเสิร์ฟ โดยเป็นแซลมอนสดรมควัน หั่นมาในชิ้นพอดีคำ ให้ความนุ่ม หอม และสด รับประทานจานนี้พร้อมดื่มไวน์ขาว Sauvignon Sémillon จาก Chateau Haut-Grelot เมือง Blaye-côtes-de-Bordeaux ให้รสชาติที่พอดี นุ่ม ลื่นคออย่างบอกไม่ถูก
จานหลักเมนูนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ของทางร้านเลยทีเดียว โดยเจ้าเนื้อแกะนั้นจะถูกนำยกมาทั้งขา เข็นมาบนรถที่มีเตาร้อนๆพร้อมซอสชนิดต่างๆและวัตถุดิบมากมาย พนักงานนำขาแกะมาสไลด์พร้อมเสิร์ฟให้คุณถึงโต๊ะ ถูกปรุงมาสุกแบบพอดีๆไม่มากไปและไม่น้อยไป ถือว่าเป็นโอกาสดีมากๆที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาลองนั่งรับประทานอาหารที่นี่
เนื้อแกะด้านในยังเป็นสีชมพูสวยงามและยังคงความนุ่มเอาไว้ รับประทานคู่กับซอสของทางร้าน บอกได้เลยว่ากลมกล่อม
เนื้อไก่ในจานนี้ไม่ธรรมดา เพราะว่าก่อนจะถูกนำมาเสิร์ฟนั้นเจ้าเนื้อไก่ชิ้นนี้ถูกนำลงไปตุ๋นในซอสไวน์พร้อมๆกับหน่อไม้ฝรั่งจากแคว้นโพรวองซ์ อีกทั้งยังมีเห็ดแชมปิญอง หัวหอม และผักชนิดอื่นๆอีกด้วย นอกจากรสชาติของไวน์ที่ซึมลึกเข้าไปในเนื้อไก่อย่างเข้มข้นแล้วก็ยังมีรสชาติความหวานจากผักชนิดๆต่างๆซ่อนอยู่ จานหลักนี้เสิร์ฟคู่กับไวน์แดงจาก Château Laroche Joubert เมือง Côtes de Bourg (Bordeaux) ให้รสชาติที่หอมเหมือนผลไม้และไม่ขมจนเกินไป
ขาดไม่ได้ก็คือของหวานตบท้าย เมื่อเจ้า Ice Cream Profiteroles ถูกยกมาเสิร์ฟ พนักงานก็จัดการเทซอสช็อกโกแลตลงไปบนเค้กอย่างชุ่มฉ่ำ ซอสช็อกโกแลตร้อนๆรับประทานคู่กับไอศกรีมวานิลลาที่เย็นชื่นใจ เข้ากันได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย ช่วยตัดรสชาติของอาหารจานหลักได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในส่วนของ Rum Baba พนักงานก็จัดการเทรัมลงไปเช่นกัน ที่นี่ให้รสชาติแตกต่างจากที่อื่นๆที่เคยได้ลองมา มีรสชาติของ Citron และวิปครีมที่ไม่ได้สอดมาเป็นไส้แต่ว่าวางอยู่เคียงคู่กันให้ได้เลือกรับประทาน สำหรับซอสช็อกโกแลตหรือรัมนั้นสามารถแจ้งพนักงานได้ว่าต้องการในจำนวนที่มากน้อยแค่ไหน
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด นั่นก็คือชา เรารับประทานอาหารที่นี่รวมเวลาก็ 4 ชั่วโมงเข้าไปแล้ว ฟังดูเหมือนนานแต่กลับรู้สึกว่า 4 ชั่วโมงนั้นผ่านไปเร็วมาก การที่ได้มารับประทานอาหารที่นี่ทำให้รู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลาไปในปี 1900 ในกรุงปารีสที่ทุกๆที่นั้นถูกประดับตกแต่งไปด้วยศิลปะที่มองทีไรก็ดูน่าตื่นตาตื่นใจ รวมไปถึงสถาปัตยกรรมที่สวยงาม
เพื่อความสะดวกสบายควรสำรองที่นั่งล่วงหน้า และถ้าหากไม่แน่ใจว่าจะสั่งเมนูอะไรดี แนะนำให้สั่ง The Arts Menu (Le Menu des Arts) ราคา 65€ หรือ The Traveller Menu (Le Menu du Voyageur) ราคา 48€ และเพื่อความสะดวกสบายที่มากยิ่งขึ้น ดาวน์โหลดคูปองจาก O'bon Paris รับส่วนลดทันที 20% (ยกเว้นในส่วนของบาร์เลานจ์)
แปล: Aphinya Kasemsukphaisan
ที่อยู่: สถานีรถไฟ Gare de Lyon ชั้น 2, Place Louis Armand 75012 Paris
เวลาทำการ: ร้านอาหาร - ทุกวัน 11:30-14:45 และ 19:00-22:45 / บาร์เลานจ์ - ทุกวัน 07:30-22:00
เว็บไซต์: www.le-train-bleu.com