ประเทศมอลต้า


เที่ยวมอลต้า / ทำไมมอลต้าถึงน่าเที่ยว 

ท่องเที่ยวในประเทศมอลต้า

ประเทศมอลต้า หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือสาธารณะรัฐมอลต้า (Republic of Malta) เป็นประเทศเล็กๆตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆทางตอนใต้ของทวีปยุโรป ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยในบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผู้คนไม่มากนักที่จะรู้จักมอลต้าในฐานะประเทศประเทศหนึ่ง เนื่องจากประเทศมอลต้าติดอันดับประเทศที่เล็กที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 10

สำหรับพลเมืองยุโรปนั้น รู้จักประเทศมอลต้ากันเป็นอย่างดีในฐานะประเทศที่น่าไปท่องเที่ยวมากที่สุดประเทศหนึ่งในช่วงซัมเมอร์ ด้วยภูมิอากาศที่ค่อนข้างอุ่น เต็มไปด้วยสถานที่แห่งประวัติศาสตร์มากมาย มีกิจกรรมสันทนาการให้ทำ อีกทั้งยังสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร และทะเลและชายหาดที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหนในโลก ประเทศมอลต้ายังมีสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ทั้งหมด 3 ที่ด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในสหภาพยุโรป เมืองวาเลตต้า (Valletta) ที่มีพื้นที่เพียง 0.8 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น


ภาษาท้องถิ่น: ภาษามอลทีส (Maltese), ภาษาอังกฤษ (English), และภาษาอิตาเลียน (Italian)

พื้นที่: 316 ตารางกิโลเมตร

ศาสนา: นิกายคาทอลิก

สกุลเงิน: ยูโร (EUR) สัญลักษณ์ €

กระแสไฟฟ้า: 230V

 

 

มอลต้า เที่ยวไหนดี / เมืองหลักๆในมอลต้า

เที่ยวไหนดีในมอลต้า?

อย่างที่เกริ่นนำไปตอนแรกว่าประเทศมอลต้าเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรป อย่างไรก็ตาม ประเทศมอลต้าเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย คุณสามารถท่องเที่ยวทั่วทั้งประเทศได้โดยใช้เวลาเพียงประมาณ 1 สัปดาห์เท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในประเทศมอลต้าก็คือสถาปัตยกรรมและอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ นอกเหนือจากนั้นก็จะมีกิจกรรมทางสันทนาการ พิพิธภัณฑ์ ท่องเที่ยวชมเมือง และชายหาดอีกมากมายที่หลายๆคนฝันถึง

1) วาเลตต้า (VALLETTA): โบสถ์ St. John Co-Cathedral, โบสถ์ Church of Our Lady of Victories, สวน Upper Barakka Gardens, สวน Lower Barakka Gardens, ประตูเมืองวาเลตต้า (Valletta City Gate), น้ำพุ Triton Fountain, อาคารรัฐสภา (Parliament Building), พระราชวัง Grandmaster's Palace, พิพิธภัณฑ์ National Museum of Archaeology, จัตุรัส St. George’s Square, Casa Rocca Piccola, ป้อมปราการ St. Elmo, ป้อมปราการ St. Angelo, ประตูเมืองวิคตอเรีย (Victoria Gate), พิพิธภัณฑ์ National War Museum, Grand Habour และ Valletta Waterfront

2) สลีมา (SLIEMA): เกาะ Manoel, ป้อมปราการ Manoel และอ่าว St. Julian's Bay

3) โกโซ่ (GOZO): Azure Window, Inland Sea, โบสถ์ Ġgantija Temples, โบสถ์ Ta' Pinu Basilica, อ่าว Ramla, Fungus Rock และโบสถ์ Cathedral of the Assumption

4) โคมิโน (COMINO): Blue Lagoon, เกาะโคมิโน (Cominotto Island), อาคาร Saint Mary's Tower และอ่าว Santa Marija Bay

5) เอ็มดิน่า​ (MDINA): ประตูเมืองเอ็มดิน่า (The Mdina Gate), โบสถ์ St. Paul's Cathedral, พิพิธภัณฑ์ National Museum of Natural History, พิพิธภัณฑ์ Domus Romana Museum, Casa Testaferrata และสวน Mdina Ditch Garden

6) ราบัต (RABAT): Saint Dominic's Priory, โบสถ์ St. Paul's Church, The Grotto of St. Paul, สุสานใต้ดิน St. Paul’s Catacombs, St. Agatha's Historical Complex and Catacombs และ Casa Bernard

7) MELLIEHA: โบสถ์ Our Lady of The Grotto, หมู่บ้านป๊อปอาย (Popeye Village), อ่าว Mellieha Bay, อ่าว Golden Bay, อ่าว Ghadira Bay, Ghadira Nature Reserve และพระราชวัง Selmun Palace

8) วิททอริโอซา (VITTORIOSA, THE 3 CITIES): ป้อมปราการ St. Angelo, พิพิธภัณฑ์ Malta At War Museum, พิพิธภัณฑ์ Malta Maritime Museum, โบสถ์ St. Lawrence's Church, พระราชวัง Inquisitor's Palace และโบสถ์ St. Anne Chapel

9) คอสปิคัว (COSPICUA, THE 3 CITIES): โบสถ์ Immaculate Conception Church และประตูเมือง Cottonera Gate

10) แซงเกลีย (SENGLEA, THE 3 CITIES): สวน Gardjola Gardens และโบสถ์ St.Phillip's Church

 

 

มอลต้าไปช่วงไหนดี / ช่วงที่น่าเที่ยวสุดของมอลต้า

มอลต้าช่วงไหนน่าเที่ยวบ้าง?

แสงแดดเริ่มแผ่ความอบอุ่นมาให้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ: เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม

ฤดูใบไม้ผลิที่ประเทศมอลต้านั้นสวยงามอย่างที่เคยเป็นเสมอมา ในช่วงนี้อาจจะมีฝนตกอยู่บ้างและน้ำทะเลยังเย็นเกินไปที่จะลงเล่น เรือเฟอร์รี่ทัวร์ไปยังเกาะโคมิโน (Comino) และ Blue Lagoon นั้นจะออกแค่ในวันที่อากาศดีเท่านั้น จะเป็นอย่างนี้ไปจนถึงวันที่ 1 เมษายน ในช่วงคาบเกี่ยวกับซัมเมอร์ จะมีเรือออกให้บริการมากขึ้นในช่วงนั้น อุณหภูมิสูงสุดในช่วงนี้จะอยู่ที่ประมาณ 17-23 องศา และต่ำสุดอยู่ที่ 10-15 องศา ควรติดร่มเอาไว้กับตัวด้วยเมื่อออกไปท่องเที่ยวในกรณีที่ฝนเทลงมา ทะเลที่ดูสงบอาจจะไม่สงบอีกต่อไปถ้าเจอลมที่แรง คลื่นก็จะแรงและสูงตามไปด้วย ช่วงนี้จึงถือว่าเป็นโลว์ซีซั่นของประเทศมอลต้า นักท่องเที่ยวจะยังไม่เยอะมากเท่าไร ราคาค่าตั๋วเครื่องบินและที่พักในช่วงนี้จะถูกกว่าในช่วงซัมเมอร์

  
ซัมเมอร์อันร้อนระอุท่ามกลางหาดทรายขาว: เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม

ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป จะเป็นช่วงเริ่มต้นของไฮซีซั่น ช่วงเวลากลางวันจะยาวนานขึ้นเป็น 14 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นในช่วงนี้คุณสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ยาวนานขึ้นกว่าในฤดูอื่นๆ น้ำทะเลจะมีอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ประมาณ 27 องศา ทำให้สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสนุกสนานในน้ำทะเลสีเทอร์ควอยซ์ท่ามกลางพระอาทิตย์ที่ส่องลงมาให้ความอบอุ่น อุณหภูมิสูงสุดโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 27-35 องศา และต่ำสุดที่ 18-22 องศาในตอนกลางคืน อุณหภูมิจะสูงขึ้นไปพร้อมๆกับราคาที่พักและตั๋วเครื่องบิน ถ้าหากต้องการเดินทางมาประเทศมอลต้าในช่วงนี้ แนะนำว่าควรวางแผนล่วงหน้า

 
ลมโชยพัดมาเย็นๆในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ฝนชุก: เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

เมื่อหมดช่วงซัมเมอร์ อุณหภูมิก็จะเริ่มลดต่ำลงอีกครั้งในเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม น้ำทะเลยังคงมีอุณหภูมิที่อุ่นพอๆกับอากาศ ตามชายหาดชายทะเลจะมีคนไปน้อยลง ถ้าหากคุณไม่คิดอะไรมากก็สามารถไปนั่งเล่นที่ริมทะเลได้สบายๆรับลมโชยเย็นๆ ในเดือนกันยายนและตุลาคมเป็นช่วงดีที่คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงนักท่องเที่ยวจำนวนมากตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง อุณหภูมิเฉลี่ยกลางวันจะเย็นลง อุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 24-28 องศา และต่ำสุดประมาณ 17-20 องศา ในเดือนพฤศจิกายน อุณหภูมิจะต่ำลงไปอีก เหลืออยู่ที่สูงสุดประมาณ 20 องศาและต่ำสุดประมาณ 14 องศา และในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้มักจะมีฝนตกชุก

 

ฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยเทศกาลทางวัฒนธรรมมากมาย: เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์

แน่นอนว่าฤดูหนาวไม่ใช่ฤดูที่เหมาะจะเดินทางไปเที่ยวทะเลเท่าไรนัก หากแต่ว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมที่จะเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆกับเทศกาลท้องถิ่นอย่างเทศกาลคริสต์มาสตามสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมต่างๆ ในช่วงนี้ฝนจะตกชุกมากกว่าฤดูอื่นๆ และมากขึ้นในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในช่วงนี้จะอุ่นกว่าฤดูหนาวในประเทศอื่นๆในยุโรป อุณหภูมิสูงสุดจะอยู่ที่ประมาณ 15-17 องศา และต่ำสุดที่ 9-11 องศา

 

 

งบประมาณการท่องเที่ยวในมอลต้า

งบประมาณในการท่องเที่ยวมอลต้า

ถึงแม้ว่าประเทศมอลต้าจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ค่าครองชีพก็ไม่ได้ถูกอย่างที่คิดเท่าไรนัก คุณสามารถเลือกเข้าไปรับประทานอาหารตามร้านอาหารมากมายที่มีราคาที่ไม่แพงมากนัก หากแต่ว่าก็ยังมีร้านอาหารที่มีราคาค่อนข้างสูงปะปนอยู่ การเดินทางมีราคาที่ค่อนข้างแพงถ้าหากซื้อตั๋วขาเดียวทุกครั้งที่เดินทาง จะเป็นการดีกว่ามากถ้าหากคุณซื้อบัตรเดินทางที่มีแพ็คเกจเหมาะสมกับทริปนั้นๆของคุณ ค่าการเดินทางอาจจะแพง แต่ค่าเข้าตามพิพิธภัณฑ์และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนั้นไม่แพงเลย ส่วนใหญ่ราคาจะอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผล งบประมาณในการท่องเที่ยวที่ประเทศมอลต้าเฉลี่ยจะอยู่ที่วันละ 80€ ต่อคน ไม่รวมค่าที่พัก

 

 

กินอะไรดีที่มอลต้า / อาหารท้องถิ่นของมอลต้าที่ต้องลอง

กินอะไรดีเมื่อไปเยือนมอลต้า?

อาหารท้องถิ่นของประเทศมอลต้าเป็นอาหารที่ผสมผสานเอาอาหารซิซิเลียน (Sicilian) อาหารอังกฤษ อาหารสเปน และอาหารฝรั่งเศสเข้าไว้ด้วยกัน และเพิ่มกลิ่นอายของอาหารเมดิเตอร์เรเนียนเข้าไปอีกหน่อย ถึงแม้ว่าอาหารมอลต้าจะได้รับอิทธิพลมากมายจากประเทศอื่นๆ อาหารมอลต้านั้นก็ยังคงมีเอกลักษณ์ส่วนตัวอยู่ค่อนข้างชัดเจน ทั้งในแง่ของสไตล์และวัตถุดิบที่ใช้

1) RABBIT STEW: เนื้อกระต่ายเป็นเนื้อสัตว์ที่หาได้ทั่วไปในประเทศมอลต้า Stuffat Tal-Fenek หรือสตูว์กระต่ายถือเป็นอาหารท้องถิ่นประจำชาติของประเทศมอลต้าเลยทีเดียว สตูว์เนื้อกระต่ายตุ๋นไปพร้อมๆกับมะเขือเทศ ไวน์แดง และซอสกระเทียม ตุ๋นจนกว่าเนื้อจะเปื่อยล่อนจากกระดูก กระต่ายมีกระดูกชิ้นเล็ก เพราะฉะนั้นเวลารับประทานจะต้องระวังให้ดี ร้านอาหารบางร้านจะเสิร์ฟเนื้อกระต่ายพร้อมเครื่องใน ถ้าหากคุณไม่ต้องการส่วนนั้นให้บอกพนักงานได้เลย

2) KAPUNATA: จานนี้ถือว่าเป็น Ratatouille สไตล์มอลต้า เป็นอาหารที่นิยมรับประทานกันในช่วงหน้าร้อย ประกอบไปด้วยมะเขือเทศ เคเปอร์ มะเขือ และพริกหยวก

3) MINESTRA: ซุปข้นสีเหลืองทองที่เต็มไปด้วยผักสดตามฤดูกาล มักจะเสิร์ฟคู่กันกับขนมปังมอลทีสและน้ำมันมะกอก ชาวมอลทีสมักจะรับประทานซุป Minestra ในช่วงฤดูหนาว

4) MALTESE SAUSAGE: Zalzett Tal Malti หรือไส้กรอกมอลทีสนั้นเป็นไส้กรอกที่มีรสชาติเค็ม มีรสชาติของกระเทียมและกลิ่นของผักชีแฝงอยู่ Zalzett นั้นเป็นที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายในเหล่าคนที่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์ หารับประทานได้ที่เดียวในโลกนี้เท่านั้นนั่นก็คือที่ประเทศมอลต้า เพราะฉะนั้นรับประทานให้เต็มที่เลย

5) MALTESE BREAD: ชาวมอลทีสมักจะบอกเสมอว่าถ้าเดินทางมาประเทศมอลต้าแล้วไม่รับประทานขนมปังมอลทีสหรือ Ħobż Tal-Malti นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดอย่างยิ่ง ขนมปังมองทีสนั้นมีความกรอบนอกนุ่มใน มักจะเสิร์ฟเป็น appetizer ก่อนเริ่มมื้ออาหาร และมักจะรับประทานคู่กับน้ำมันมะกอกแล้วซอสบัลซามิก

6) PASTIZZI: ขนมอบยอดนิยมของประเทศมอลต้า Pastizzi ไปขนมอบเนื้อนุ่มฟู ข้างในสอดไส้ริคอตต้าชีสและ Mushy Peas หารับประทานได้ทั่วไป อย่าลืมลองสักครั้งถ้าได้ไปเยือนที่ประเทศมอลต้า 

7) TIMPANA: เป็นอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ ผัก ชีส และซอสโบโลเนส (Bolognese) และมักกะโรนี นำไปอบจนมีสีเหลืองทอง ผิวด้านบนกรอบและด้านในนุ่มและหอม มักกะโรนีที่อยู่ด้านล่างชุ่มไปด้วยซอส คุณสามารถเรียกมันว่าพายมักกะโรนีก็ได้ ในส่วนของรสชาติก็ดีไม่แพ้กันเลย

8) ĠBEJNIET: ชีสชนิดท้องถิ่น ทำมาจากนมแพะ มีเนื้อสัมผัสและรสชาติคล้ายกับมอสซาเรลล่าชีส ชีสนี้มักจะถูกเสิร์ฟมาในรูปร่างกลมๆเล็กๆ และบางครั้งก็จะเสิร์ฟมาในรูปแบบของการหมักเกลือ แบบตากแห้ง หรือคลุกพริกไทยดำ

9) LAMPUKI PIE: ประเทศมอลต้าถูกห้อมล้อมไปด้วยทะเลและมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยปลา ซึ่งปลากลายมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักและปลา Lampuki ก็เป็นปลาที่หาได้ทั่วไปในทั่วเกาะแห่งนี้ ปลา Lampuki ถูกนำมาแปรรูปให้กลายเป็นพายปลาทำมาจากปลา Lampuki มันฝรั่ง ผักโขม เคเปอร์ และน้ำมันมะกอก

10) ĦOBŻ BIŻ-ŻEJT: ขนมปังฝานเป็นชิ้นบางกรอบ ถูกนำมาทาด้วยมะเขือเทศสด ท็อปปิ้งด้วยชีส ปลาทูน่า หอมหัวใหญ่ และราดด้วยน้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย อาหารจานนี้กลายมาเป็นของว่างและสตรีทฟู้ดที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายในชาวมอลทีสและนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสรสชาติของประเทศมอลต้าอย่างแท้จริง

11) CANNOLI: Cannoli หรือ Kannoli คือขนมหวานของประเทศมอลต้าที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากขนมหวานสไตล์อิตาเลียนจากเมืองซิซิลี (Sicily) ขนมหวานนี้มาในรูปแบบของโรลม้วนที่ตรงกลางกลวง เว้นว่างเอาไว้เพื่อสอดไส้ต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นไส้ริคอตต้าชีสที่มีรสชาติเปรี้ยวหวาน หรือไส้อื่นๆก็จะเป็นไส้ช็อกโกแลต เชอร์รี่ เลม่อน หรือครีมถั่ว เป็นต้น

12) TREACLE RING: หรือ Honey Ring เป็นขนมหวานที่นิยมรับประทานกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เจ้าขนมหวานนี้มีหน้าตาคล้ายท่อที่กลวงตรงกลางทำมาจากกากน้ำตาล (Molasses) ในส่วนของไส้ที่กินพื้นที่ตรงกลางของท่อนั้นทำมาจากโป๊ยกั๊ก กานพลู และกากน้ำตาล (Blackstrap Molasses) เพียงคำแรกที่กัดลงไปคุณก็จะสัมผัสได้ถึงความเป็นคริสต์มาสอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

13) CASSATA: อีกหนึ่งขนมหวานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมืองซิซิลี เป็นขนมหวานที่นิยมรับประทานในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเช่นกัน Cassata เป็นเค้กสีสันสดใส ทำมาจากมาร์ซิพาน (Marzipan), Almond Paste และริคอตต้าชีสรสหวาน

14) PRICKLY PEAR: พริกคลีแพร์เป็นผลไม้ของต้นแคคตัสที่สามารถหารับประทานได้ทั่วประเทศมอลต้า หน้าตาของเจ้าผลไม้นี้อาจจะดูไม่น่ารับประทานเท่าไรนักเนื่องจากมีหนาวอยู่รอบผล ดูเหมือนว่าจะเป็นต้นกระบองเพชรมากกว่าผลไม้ หากแต่ว่าผลพริกคลีแพร์นั้นเต็มไปด้วยรสชาติที่เหมือนกับว่าคุณกำลังรับประทานสตรอเบอร์รี่ แตงโมง และลูกฟิกในเวลาเดียวกัน

 

 

การเดินทางในมอลต้า

การเดินทางในมอลต้า

ประเทศมอลต้าเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็ก จึงจะไม่มีรถไฟใต้ดินหรือรถแทรมอย่างที่ประเทศอื่นๆในยุโรปมักจะมี หากแต่ว่าที่นี่จะมีรถบัสและเรือเฟอร์รี่เป็นยานพาหนะหลักเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆในตัวเมืองและทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงประเทศมอลต้าจะมีพื้นที่ไม่มากนัก แต่ค่าโดยสารสำหรับขนส่งสาธารณะนั้นก็มีราคาไม่ต่างจากเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงปารีสเลย

 

1) การเดินทางในประเทศมอลต้า

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ายานพาหนะหลักของขนส่งสาธารณะในประเทศมอลต้านั้นมีเพียงรถบัสและเรือเฟอร์รี่เท่านั้น ด้วยความที่ประเทศมีพื้นที่ค่อนข้างน้อย ทำให้ทุกที่ในประเทศนั้นสามารถเข้าถึงได้โดยรถบัสและบางที่ด้วยเรือเฟอร์รี่ อย่างเช่นการเดินทางระหว่างเมืองวาเลตต้า (Valletta) กับเมืองสลีมา (Sliema), ระหว่างเมืองวาเลตต้ากับเมืองคอสปิคัว (Cospicua, The 3 Cities) และการเดินทางไปยังเกาะโกโซ่ (Gozo) และเกาะโคมิโน (Comino) นอกจากนั้นยังมีรถบัสกลางคืน (Night Bus) ที่ให้บริการส่วนใหญ่ในคืนวันศุกร์และเสาร์อาทิตย์ หลังจากรถบัสรอบปกติหมดลง

บัตร TALLINJA CARD: การเดินทางบนบกทางเดียวในประเทศมอลต้าคือรถบัส คุณสามารถเดินทางด้วยรถบัสไปไหนก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเมืองไหนก็ตาม โดยรถบัสนั้นให้บริการโดยบริษัท Malta Public Transport สำหรับบัตรเดินทาง Tallinja Card นั้น มีให้เลือกหลายแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ อย่างเช่นบัตร Personalized Tallinja Card, Explore, ExplorePlus และ 12 Single Day Journeys เป็นต้น แต่ละบัตรก็จะมีราคาและแพ็คเกจที่แตกต่างกันออกไป

ตั๋วเงินสด: ถ้าหากคุณมั่นใจว่าจะไม่เดินทางด้วยรถบัสเลย หรือคิดว่าจะใช้รถบัสน้อยก็ไม่จำเป็นที่จะซื้อบัตร Tallinja Card คุณสามารถซื้อตั๋วเงินสดได้เลยจากคนขับรถบัส แต่ข้อควรระวังคือถ้าหากจะซื้อตั๋วจากคนขับ ส่วนใหญ่คนขับจะต้องการจำนวนเงินที่พอดีเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการเดินทาง และจะรับเพียงเงินสดเท่านั้น ราคาของตั๋วเงินสดนั้นขึ้นอยู่กับฤดูกาล ในช่วงฤดูหนาวราคาจะอยู่ที่ 1.50€ ต่อเที่ยว และในฤดูร้อนจะอยู่ที่ 2€ ต่อเที่ยว

รถบัสกลางคืน: รถบัสกลางคืนนั้นวิ่งตั้งแต่ประมาณ 23:00 จนถึง 04:00 ขึ้นอยู่กับว่าออกจากที่ไหนและจุดมุ่งหมายคืออะไร ราคาตั๋วอยู่ที่ 3€ ต่อเที่ยว รถบัสมักจะมาทุกๆ 10-30 นาที รถบัสกลางคืนส่วนใหญ่จะให้บริการในคืนวันศุกร์และเสาร์อาทิตย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณต้องการใช้บริการรถบัสกลางคืน แนะนำว่าควรตรวจเช็คตารางรถให้ดีก่อนออกเดินทาง

เรือเฟอร์รี่: เรือเฟอร์รี่นั้นให้บริการระหว่างเมืองวาเลตต้าและสลีมา  และระหว่างเมืองวาเลตต้าและเมืองคอสปิคัว สถานที่เหล่านี้สามารถเข้าถึงได้โดยรถบัสเช่นกันหากแต่ว่าเรือเฟอร์รี่นั้นช่วยย่นระยะเวลาไปได้เยอะมากเลยทีเดียว เรือเฟอร์รี่เริ่มวิ่งตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ (06:30-07:00) ไปจนถึงตอนดึก (23:30-00:45) อย่างไรก็ตาม ตารางเวลาอาจจะมีการปรับเปลี่ยนนิดหน่อยในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน ราคาตั๋วเดินทางอยู่ที่เที่ยวละ 1.50€ และไปกลับอยู่ที่ 2.80€ หลังเวลา 19:30-19:45 ราคาจะขึ้นเป็นเที่ยวละ 1.75€ และไปกลับ 3.30€ คุณสามารถซื้อตั๋วได้ที่ท่าเรือโดยตรง เรือจะรับเพียงเงินสดเท่านั้น และสำหรับใครที่ถือบัตร Personalized Tallinja Card สามารถแสดงบัตรและรับส่วนลดได้

 

2) การเดินทางจากสนามบินมอลต้าไปยังใจกลางเมือง

ที่ประเทศมอลต้า มีหลากหลายเส้นทางเดินรถบัสที่เชื่อมต่อระหว่างสนามบินและสถานที่ต่างๆ มีรถบัสทั้งหมด 6 สายด้วยกันที่เดินทางเชื่อมจากสนามบินไปยังเมืองจุดหมายปลายทางหลักๆ ป้ายรถบัสทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ที่หน้าตึกผู้โดยสารขาออก (Departures Hall) คุณสามารถซื้อตั๋วจากคนขับโดยตรงหรือซื้อที่ Malta Public Transport Sales and Information Office ที่ตึกผู้โดยสารขาเข้า (Arrivals Hall) จากเครื่องจำหน่ายบัตรอัตโนมัติ เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

เส้นทางรถบัสสาย X นั้นจะวิ่งไปยังสถานที่ต่างๆในมอลต้าและจอดทุกป้าย ในขณะที่เส้นทางรถบัสสาย TD ที่ย่อมาจาก Tallinja Direct Routes นั้นจะวิ่งตรงจากสนามบินไปยังจุดหมายปลายทางที่คุณต้องการโดยใช้เวลาน้อยกว่าสาย X 

รถบัสสาย X1: รถบัสจะวิ่งไปยังสถานที่หลักๆ ได้แก่ Mellieha, St. Paul's Bay และ Qawra

รถบัสสาย X2: รถบัสจะวิ่งไปยังสถานที่หลักๆ ได้แก่ St. Julian's และ Sliema

รถบัสสาย X3: รถบัสจะวิ่งไปยังสถานที่หลักๆ ได้แก่ Bugibba และ Qawra

รถบัสสาย X4: รถบัสจะวิ่งไปยังสถานที่หลักๆ ได้แก่ Valletta

รถบัสสาย TD2: รถบัสจะวิ่งตรงจากสนามบินไปยัง St. Julian's

รถบัสสาย TD3: รถบัสจะวิ่งตรงจากสนามบินไปยัง Bugibba และ Qawra

 

3) บัตรเดินทางในประเทศมอลต้า

นอกจากตั๋วเงินสดแล้ว Malta Public Transport ยังมีบัตรเดินทางอีกมากมายให้คุณเลือกตั้งแต่บัตรรายสัปดาห์ไปจนถึงบัตรรายเดือน บัตร Explore, ExplorePlus และ 12 Single Day Journeys สามารถหาซื้อได้ที่ Malta Public Transport Sales and Information Office ที่ตึกผู้โดยสารขาเข้า (Arrivals Hall) จากเครื่องจำหน่ายบัตรอัตโนมัติ เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

1. บัตร EXPLORE: บัตร Explore Card จะทำให้คุณสามารถเดินทางโดยรถบัสได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็นเวลา 7 วันติดกัน เวลาจะเริ่มนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ validate บัตรบนรถบัส เพราะฉะนั้น คุณสามารถขึ้นลงรถบัสได้ไม่ว่าจากไหน จุดหมายปลายทางไหน เวลาไหนก็ได้ บัตรนี้ไม่สามารถแชร์กันได้

ราคา: ผู้ใหญ่ 21€ / เด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี 15€

 

2. บัตร EXPLORE PLUS: นอกจากจะสามารถเดินทางได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งเป็นเวลา 7 วันติดกัน ที่รวมไปถึงรถบัสสาย TD จากสนามบินไปยังชายหาดต่างๆแล้ว บัตร ExplorePlus Card ยังเปิดให้คุณได้เดินทางด้วยเรือเฟอร์รี่ได้ถึง 2 รอบไปกลับ นอกเหนือจากนั้นคุณยังสามารถเลือกตัวเลือกใดตัวเลือกหนึ่งได้ด้วยระหว่างทัวร์ Hop-On Hop-Off Sightseeing Bus ทั่วเกาะ หรือทัวร์ไปยังเกาะโคมิโน ที่ที่ Blue Lagoon อันแสนสวยงามตั้งอยู่ บัตรนี้ใช้ 7 วันและเวลาจะเริ่มนับตั้งแต่คุณ validate บัตรครั้งแรก

ราคา: 39€

 

3. บัตร 12 SINGLE DAY JOURNEYS: บัตรนี้ถือว่าเป็นบัตรที่ช่วยให้คุณประหยัดค่าเดินทางไปได้มากทีเดียว บัตร 12 Single Day Journeys จะช่วยให้คุณสามารถเดินทางได้ 12 ครั้งโดยรถบัส โดยสามารถใช้ได้ภายใน 1 ปีนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ validate บัตร บัตรนี้สามารถแชร์ได้และสามารถใช้บริการรถบัสกลางคืนได้ โดยคุณสามารถใช้รถบัสธรรมดาจำนวน 12 เที่ยวหรือรถบัสกลางคืนจำนวน 6 เที่ยว หรือจะรวมกันก็ได้โดยการใช้รถบัสกลางคืน 1 เที่ยวจะนับเป็น 2 เที่ยวของรถบัสธรรมดา

ราคา: 15€

 

4. บัตร PERSONALIZED TALLINJA CARD: ประกอบไปด้วย 5 สี 5 แบบด้วยกัน โดยจะมีสำหรับผู้ใหญ่ เด็ก นักเรียน พลเมืองโกโซ่ และผู้พิการหรือเกษียณอายุ บัตรนี้สามารถลงทะเบียนออนไลน์ได้พร้อมกับแสดงเอกสารต่างๆที่ทางเว็บไซต์ต้องการ ค่าลงทะเบียนอยู่ 10€ และการเติมเงินจะต้องเติม 20€ ขึ้นไปเพื่อเป็นการเปิดใช้งานบัตร

 

  

ตั๋วรถและบัตรส่วนลด มอลต้า 

ตั๋ว บัตรเดินทาง และส่วนลดต่างๆในมอลต้า

สำหรับใครที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ อย่าลืมถือบัตร International Student Identity Card (ISIC) ติดตัวมาด้วย เนื่องจากที่นี่มีส่วนลดมากมายสำหรับนักเรียนที่ถือบัตรนี้ ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์หรือสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ก่อนที่จะซื้อตั๋วต่างๆ ตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่ว่ามีส่วนลดสำหรับนักเรียนหรือไม่ 

 

1) บัตร MALTA PASS: เนื่องจากที่ประเทศมอลต้านั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายนับไม่ถ้วน บัตร Malta Pass จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าชมกว่า 35 สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ และสถาปัตยกรรมยอดนิยมทั่วประเทศได้ฟรี อีกทั้งยังรวมไปถึงทัวร์รถบัส Sightseeing อีกด้วย

ราคา: 1 วัน 49.95€ / 2 วัน 79.95€ / 3 วัน 99.95€

เว็บไซต์: www.maltapass.com.mt

 

2) บัตร VALETTA CARD: บัตร Valletta Card นี้เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2018 เป็นบัตรที่ให้คุณสามารถเดินทางไป จาก หรือภายในเมืองวาเลตต้าได้ อีกทั้งยังรวมเรือเฟอร์รี่จำนวน 2 เที่ยวไปกลับอีกด้วย นอกเหนือจากนั้นคือบัตรนี้จะทำให้คุณสามารเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในวาเลตต้าได้ฟรี คุณสามารถเลือก 3 ใน 5 สถานที่ท่องเที่ยวได้ตามนี้ The Palace State Rooms, The Palace Armoury, พิพิธภัณฑ์ The National Museum of Archaeology หรือโชว์ Malta 5D

ราคา: 24 ชั่วโมง 19€

เว็บไซต์: www.publictransport.com.mt/en/valletta-card

 

 

สกุลเงินและอัตราแลกเปลี่ยนเงินมอลต้า

สกุลเงินและอัตราแลกเปลี่ยนในมอลต้า

ประเทศมอลต้าใช้สกุลเงินเดียวกันกับประเทศอื่นๆในยุโรป นั่นก็คือ EUR (€) หรือยูโร นับว่าค่อนข้างสะดวกสบายเลยทีเดียว เพราะไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินให้ยุ่งยากเมื่อต้องเดินทางท่องเที่ยวต่อไปยังประเทศอื่นๆในยุโรป ร้านอาหาร คาเฟ่ หรือบาร์ ส่วนใหญจะรับทั้งเงินสดและบัตร หากแต่ว่าแนะนำว่าควรมีเงินสดติดตัวนิดหน่อย เนื่องจากบางร้านจะมีจำนวนขั้นต่ำในการใช้จ่ายผ่านบัตร

 

 

ของที่ระลึก ของฝากน่าซื้อ มอลต้า

ของที่ระลึกน่าซื้อจากมอลต้า

1) NOUGAT: ขนมหวานที่นิยมรับประทานกันทั่วประเทศ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วและซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป เจ้าขนมหวานรูปทรงแท่งนี้มักจะมีถั่วอัลมอนด์เป็นส่วนประกอบหลัก รสชาติขายดีมักจะเป็นรสออริจินัล ตามมาด้วยรสวานิลลา สตรอว์เบอร์รี่ และช็อกโกแลต

2) MALTESE CROSS: Maltese Cross ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณะรัฐมอลต้าเลยก็ว่าได้ โดยจะมีลักษณะเป็นตัวอักษร V 4 ตัวเชื่อมกันอยู่ โดยแต่ละตัวก็จะชี้ออกไป 4 ทิศ คุณสามารถพบเจอ Maltese Cross ได้ตามร้านขายของที่ระลึกทั่วไปในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแม็กเนต ของตกแต่งบ้านที่ทำมาจากหินปูน ตุ้มหู สร้อยคอ และอีกมากมาย ซื้อ Maltese Cross ติดไม้ติดมือกลับบ้านมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการท่องเที่ยวที่น่าประทับใจของคุณที่ประเทศมอลต้า

3) LUZZU FIGURINE: Luzzu คือเรือประมงที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของประเทศมอลต้า โดยปกติแล้วเรือ Luzzu นี้จะถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสดใสประกอบไปด้วยสีเหลือง แดง เขียว และน้ำเงิน ที่หัวเรือจะมีตา 1 คู่ประดับอยู่ คุณสามารถพบเจอโมเดลเรือ Luzzu ได้ตามร้านขายของที่ระลึกทั่วไป ด้วยสีสันที่สดใสนั้นเหมาะที่จะซื้อกลับไปประดับตกแต่งบ้านเป็นอย่างมาก

4) EYE OF OSIRIS: Eye of Osiris หรือ Eye of Horus เป็นตาที่มักจะติดอยู่ที่หัวเรือ Luzzu ผู้คนมีความเชื่อว่า Eye of Osiris นั้นเป็นความเชื่อที่หลงเหลืออยู่ในปัจจุบันของชาวฟินิเซียน (Phoenician) และชาวกรีกโบราณ พวกเขาเชื่อว่าตาคู่นี้คือพระเจ้าของชาวฟินิเซียนที่จะปกป้องรักษาพวกเข้าจากสิ่งชั่วร้าย ดวงตานี้สามารถพบเห็นได้ตามร้านขายของที่ระลึกทั่วไปอีกเช่นกัน มีสีสันสดใส สวยงาม และเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย

5) KNIGHT OF MALTA FIGURINE: กว่า 200 ปีที่ประเทศมอลต้านั้นเป็นสถานที่พักพิงสำหรับเหล่าภาคีของนักบุญเซนต์จอห์น (Order of Saint John) เมืองวาเลตต้านั้นก็ถูกสร้างขึ้นโดยอัศวินเหล่านี้ และ Maltese Cross จริงๆแล้วนั้นก็คือสัญลักษณ์ของอัศวินเหล่านี้นี่เอง ตามร้านขายของที่ระลึกทั่วไปจึงมีโมเดลอัศวินในอิริยาบถต่างๆ ในขนาดและราคาที่แตกต่างกันออกไป 

6) FILIGREE: แรกเริ่มเดิมทีนั้น Filigree มีต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีซและโรมันโบราณ แต่ในปัจจุบันนี้ ชาวมอลทีสนั้นมีฝีมือในการทำ Filigree เป็นอย่างมาก Filigree นั้นเป็นงานแฮนด์เมดล้วนและมักจะมีในรูปแบบของเครื่องประดับ ทำมาจากเส้นลวดเงินหรือทอง นำมาร้อยเรียงกันจนเกิดขึ้นเป็นรูปร่าง คุณสามารถเลือกซื้อตุ้มหู สร้อยคอ หรือสร้อยข้อมือ เพื่อเป็นเครื่องประดับหรือเป็นของขวัญแก่คนที่คุณรัก

7) MALTESE LACE: ผ้าลูกไม้ที่ถักทอด้วยมือนั้นมีลวดลายที่สวยงามและถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งพิเศษของประเทศมอลต้า ไม่ว่าจะเป็นร่มขนาดจิ๋ว ผ้าปูโต๊ะ ที่รองแก้ว และอีกมากมาย ราคาขึ้นอยู่กับขนาดและความละเอียดของชิ้นงานแต่ละชิ้น แต่ราคาโดยเฉลี่ยนั้นมีราคาที่ไม่แพงและเหมาะสมเป็นอย่างมาก

8) MDINA GLASS: Mdina Glass เป็นแก้วสีสันสดใสทำขึ้นมาโดยช่างมากฝีมือ โดยกรรมวิธีการเป่าแก้วและขึ้นรูปด้วยมือ ผลิตภัณฑ์ Mdina Glass นั้นมีมาในหลากหลายรูปร่างและการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการตกแต่งบ้านหรือการใช้งานอื่นๆ ผลิตภัณฑ์นั้นมีทั้งเชิงเทียน แจกัน แก้วน้ำ จาน หรือรูปปั้นสัตว์ชนิดต่างๆ เพื่อนำกลับไปตกแต่งบ้านในสไตล์ที่ไม่มีใครเหมือน แต่ละชิ้นมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไปเนื่องจากเป็นงานแฮนด์เมดทั้งสิ้น

9) LIMESTONE: หินปูนสีเหลืองทองหรือ Globigerina เป็นหินปูนจากประเทศมอลต้านี่เอง เป็นหินชนิดเดียวกันกับที่ชาวมอลทีสนำมาสร้างบ้านในสมัยโบราณ คุณสามารถพบเจอตึกอาคารที่ทำมาจากหินปูนได้ทั่วไปในเกาะ นอกจากนำมาสร้างบ้านแล้ว หินปูนเหล่านี้ยังถูกนำมาทำเป็นของประดับตกแต่งบ้านอีกด้วย มีราคาไม่แพงและหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ส่วนใหญ่แล้วจะมาในรูปแบบของเชิงเทียนหรือกล่องใส่เครื่องประดับขนาดเล็ก

10) DOORKNOB: ตามบ้านหรือโบสถ์ในตัวเมือง คุณจะเห็นได้ลูกบิดประตูรูปร่างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิงโต ปลาโลมา ปลา หรือแม้แต่ Maltese Cross ลูกบิดประตูเหล่านี้ทำมาจากทองเหลือง หน้าตาสวยงามและมีเสน่ห์ โดยเฉพาะเวลาที่ถูกประดับอยู่ตามบานประตูสีเขียวมะกอกหรือสีแดง ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป คุณสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของแอนทีคหรือร้านขายของที่ระลึกบางที่ ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 50€ ไปจนถึง 600-700€ เลยทีเดียว ระวังเรื่องน้ำหนักด้วยเนื่องจากแต่ละอันมีน้ำหนักที่ค่อนข้างหนัก

11) OLIVE OIL: ผลงานการวิจัยล่าสุดได้พิสูจน์แล้วว่าเมื่อ 2,000 ปีก่อน น้ำมันมะกอกของชาวโรมันนั้นถูกผลิตขึ้นที่ประเทศมอลต้า โดยที่นี่ถือว่ามีภูมิประเทศที่เหมาะสมที่จะปลูกต้นมะกอกที่สุด ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม มีดินที่ดี แสงแดดเพียงพอ และปริมาณน้ำฝนที่ไม่มากจนเกินไป ทำให้ประเทศมอลต้ากลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันมะกอกที่ใหญ่ไม่แพ้ใคร น้ำมันมะกอกหลากชนิดสามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆ ตั้งแต่แบบ Regular ไปจนถึงแบบ Extra Virgin

12) CACTUS DRINK: ผลพริกคลีแพร์เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยเมล็ดและยากที่จะนำไปปรุงอาหาร ในทางกลับกันคุณสามารถเพลิดเพลินไปกับรสชาติที่หวานหอมของผลพริกคลีแพร์ได้ในรูปแบบของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มจากกระบองเพชรนี้สามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไป และแบบที่เป็นที่นิยมมากที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นเครื่องดื่มพริกคลีแพร์หรือ "Bajtra" นอกจากนั้นยังมีรสชาติต่างๆไม่ว่าจะเป็น รสน้ำผึ้งมอลทีสและสมุนไพรกลิ่นต่างๆ แบรนด์ที่ได้รับความนิยมที่สุดคือแบรนด์ Zeppi's มีหลายขนาดให้เลือกตั้งแต่ 5 cl ไปจนถึง 70 cl เลยทีเดียว

13) CISK BEER: เบียร์เย็นๆมักจะเป็นที่ต้องการมากที่สุดในช่วงที่อากาศร้อนๆ ซึ่งเป็นอากาศส่วนใหญ่ของที่ประเทศมอลต้า เบียร์ Cisk นั้นเป็นเบียร์มอลทีสที่เต็มไปด้วยกลิ่นฮอปส์และมีสีเหลืองทองสวยงาม คุณสามารถหาดื่มได้ตามบาร์ต่างๆทั่วไปและตามซุปเปอร์มาเก็ต

14) TWISTEES: ขนมขบเคี้ยวรสชีสยี่ห้อ Twistees เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คุณต้องลองเมื่อไปเยือนประเทศมอลต้า เจ้า Twistees นี้มีมากว่า 40 ปีแล้ว และเป็นที่รักของชาวมอลทีสไม่เปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบันนี้ ลองชิมดูก่อน ก่อนที่จะซื้อติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้าน ถึงแม้ว่าหน้าตาของมันจะดูธรรมดาแต่เจ้าขนมนี้ได้รับการการันตีจากชาวมอลทีสเลยว่าเป็นขนมที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยมี

 

 

Tax Refund แท็กซ์รีฟันด์ มอลต้า 

การขอคืนภาษี (TAX REFUND) จากมอลต้า

ประเทศมอลต้าไม่ได้ถือว่าเป็นสวรรค์ของนักช้อป อย่างไรก็ตามก็ยังสามารถขอคืนภาษีได้หากต้องการ ในการขอ Tax Refund ในประเทศมอลต้านั้น คุณจะต้องซื้อสินค้ามูลค่ารวม 100€ ขึ้นไปต่อครั้ง คุณต้องไม่เป็นพลเมืองในสหภาพยุโรป และต้องเดินทางออกจากยุโรปภายใน 3 เดือนหลังจากวันที่ซื้อสินค้า ภาษีที่ได้คืนอยู่ที่ประมาณ 18% สำหรับสินค้าทั่วไปและ 5% สำหรับหนังสือและสินค้าเภสัชกรรม

เมื่อคุณซื้อสินค้าและต้องการขอ Tax Refund คุณต้องแน่ใจว่าทางร้านสามารถให้แบบฟอร์มแก่คุณได้ หลังจากได้รับแบบฟอร์ม กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน หลังจากนั้นนำแบบฟอร์มไปแสกนที่เค้าน์เตอร์ Fintrax ที่สนามบินก่อนเดินทางออกจากประเทศมอลต้า

 

 

มารยาทเบื้องต้นและการทิป มอลต้า

มารยาทเบื้องต้นและการให้ทิปในมอลต้า

ที่ประเทศมอลต้าไม่มีธรรมเนียมการให้ทิปในร้านอาหาร เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นจะต้องให้ทิป ค่าบริการนั้นได้รวมไปแล้วในบิล อย่างไรก็ตาม คนท้องถิ่นยังมีการให้ทิปอยู่บ้างตามโอกาสและความเหมาะสม

 

 

คำแนะนำการท่องเที่ยว มอลต้า

เคล็ดลับในการท่องเที่ยวมอลต้า

ชาวมอลทีสมีภาษาเป็นของตนเองนั่นก็คือภาษามอลทีส หากแต่ว่าพวกเขานั้นเรียนภาษาอังกฤษมาควบคู่กับภาษามอลทีส ทำให้ชาวมอลทีสเกือบทุกคนสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องกังวลว่าจะสื่อสารไม่เข้าใจ อีกทั้งประเทศมอลต้านั้นยังเป็นหนึ่งในประเทศที่นักเรียนจากทั่วโลกนิยมเดินทางมาเรียนภาษาอังกฤษกันด้วย

ในตัวเมืองส่วนใหญ่จะเป็นเนิน ทำให้การเดินนั้นค่อนข้างยาก อีกทั้งตรอกซอกซอยยังค่อนข้างแคบโดยเฉพาะในเมืองวาเลตต้า เพราะฉะนั้นควรจะเตรียมตัว รองเท้า และกระเป๋ามาให้ดี เนื่องจากคุณอาจจะต้องเดินเยอะหน่อยเพื่อไปยังที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ

รถบัสที่ประเทศมอลต้านั้นมักจะมาไม่ค่อยตรงตามเวลาที่โชว์ที่ป้ายหรือแอพพลิเคชั่นสักเท่าไร คุณมักจะต้องรอรถบัสเป็นเวลานานกว่าที่คิด เพราะฉะนั้นควรเผื่อเวลาในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆสักหน่อยในกรณีที่รถบัสมาไม่ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้

เรือเฟอร์รี่ทัวร์ไปยังเกาะโคมิโนและ Blue Lagoon จะเริ่มให้บริการทุกวันตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนเป็นต้นไป เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูร้อน ในช่วงก่อนหน้านั้นเรือจะให้บริการเพียงในวันที่อากาศดีเท่านั้น ขึ้นอยู่กับการพยากรณ์อากาศในแต่ละวัน ถ้าหากคุณจะเดินทางไปยังประเทศมอลต้าก่อนวันที่ 1 เมษายน ตรวจสอบตารางการเดินเรือและอากาศให้แน่ใจก่อนในวันที่คุณต้องการเดินทาง