เอ็มดิน่า (Mdina) เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ "The Silent City" แห่งประเทศมอลต้า ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะมอลต้า ในอดีตนั้น เมืองเอ็มดิน่าเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศมอลต้ามาก่อน เมืองเอ็มดิน่านี้เป็นเมืองป้อมปราการที่มีกำแพงเมืองรายล้อมรอบเมือง มีพื้นที่เพียง 0.90 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ฟังแล้วอาจจะดูเล็ก แต่ความพิเศษของเมืองนี้นั้นคือเป็นเมืองป้อมปราการที่ค่อนข้างสมบูรณ์จนได้รับการยกให้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของเมืองป้อมปราการโบราณที่สวยงามที่สุดในทวีปยุโรป ด้านในเมืองนั้นเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมมากมายที่ผสมผสานระหว่างไสตล์บาโรก (Baroque) และเรเนซองส์ (Renaissance) เข้าด้วยกัน นอกจากนั้นแล้วที่นี่ยังเป็นหนึ่งในลิสต์ของเมืองที่อาจจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ด้วย แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น เมืองเอ็มดิน่าในปัจจุบันก็ดึงดูดเอานักท่องเที่ยวมากมายให้เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่กันอย่างไม่ขาดสาย
ประตูเมืองเอ็มดิน่า (Mdina Gate) ตั้งตระหง่าน เปิดแขนอ้ารับนักท่องเที่ยวทุกคนให้เข้าไปด้านใน ประตูเมืองเอ็มดิน่านั้นมีทั้งหมด 3 ประตูด้วยกันโดยจะมีที่เห็นในภาพด้านบนเป็นประตูเมืองหลัก ประตูเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1724 ในสไตล์บาโรกเพื่อใช้เป็นประตูเมืองหลักตั้งอยู่ที่ปลายสะพาน ประตูนี้ดีไซน์โดย Charles Francois de Mondion สำหรับ Manoel de Vilhena ผู้ที่เป็นแกรนด์มาสเตอร์ของภาคีในนักบุญเซนต์จอห์น (Grand Master of the Order of St. John) โดยมีจุดประสงค์หลักคือเพื่อที่จะให้ทุกคนที่เดินทางเข้ามาในเมืองเอ็มดิน่าที่เดินผ่านประตูเมืองนี้เห็นตราอาร์มของแกรนด์มาสเตอร์ Manoel de Vilhena ที่เป็นตราสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในการต่อสู้ในสนามรบ
ประตูเมืองเอ็มดิน่าแห่งนี้มีความสวยงามและอลังการ หากแต่ว่าถ้าเป็นในสายตาของแฟนซีรี่ส์ชื่อดังอย่าง Game of Thrones ที่นี่จะต้องสวยงามอย่างหาคำบรรยายไม่ได้แน่ๆ เพราะประตูเมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำซีรี่ส์เรื่องนี้ในประเทศมอลต้า โดยมีการใช้ประตูเมืองเอ็มดิน่าจำลองเป็นประตูเมืองเข้าสู่คิงส์แลนด์ดิ้ง (King's Landing)
เมื่อเดินผ่านประตูเมืองเข้ามา สถานที่แรกที่จะเห็นเลยก็คือพิพิธภัณฑ์ National Museum of Natural History ที่ตั้งอยู่ในพระราชวัง Palazzo Vilhena ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ในสไตล์ปารีเซียงบาโรก (Parisian-Baroque) ภายหลังในปี 1973 ที่นี่ก็ได้เปิดให้บริการเป็นพิพิธภัณฑ์อย่างเป็นทางการ เต็มไปด้วยคอลเลคชั่นที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และมาจากธรรมชาติ ด้านในพิพิธภัณฑ์นั้นเต็มไปด้วยสิ่งของน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นธรณีวิทยาและชีววิทยาของพืชและสัตว์โบราณในประเทศมอลต้า (Maltese Geology and Palaeontology), สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสายพันธุ์หายาก (Exotic Mammals), วัฏจักรชีวิตของสัตว์ใต้น้ำ (Marine Fauna), แมงลง, หอยและนก และอีกมากมาย ไม่เว้นแม้แต่พัฒนาการของมนุษย์ พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 09:00 จนถึง 17:00 ราคาค่าเข้าเริ่มต้นที่ 2.50€ ถึง 5€
เดินเล่นรอบๆเมืองเอ็มดิน่านั้นถือว่าเป็นการเดินเล่นที่ค่อนข้างสงบสุขและเป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำเมื่อมาเยือนที่นี่ คุณจะพบกับตรอกซอกซอยเล็กๆมากมายที่เต็มไปด้วยถนนที่ตัดคดเคี้ยว เมื่อเดินไปเรื่อยๆคุณอาจจะพบกับจัตุรัสเล็กๆ โบสถ์ ร้านอาหาร คาเฟ่ หรือแม้กระทั่งบ้านคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ใครเล่าจะรู้ว่าด้านในเมืองป้อมปราการเล็กๆนี้นั้น มีประชากรอาศัยอยู่จริงโดยมีประชากรอยู่ทั้งหมดประมาณ 300 คน ส่วนใหญ่จะเป็นตระกูลชั้นสูงและมีการสืบทอดเชื้อสายมาจากครอบครัวสูงศักดิ์จากเมืองนอแมง (Norman), ซิซิลี (Sicilian), และประเทศสเปน โดยตระกูลเหล่านี้ได้มีการอพยพและอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ศตรรษที่ 12 มาจนถึงปัจจุบันนี้
ที่เมืองเอ็มดิน่าแห่งนี้ ความสวยงามไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ประตูเมืองเพียงอย่างเดียว หากแต่ว่าที่นี่นั้นเต็มไปด้วยความสวยงามและเสน่ห์ทั่วทุกมุมเมือง ที่ถึงแม้ว่าคุณจะเดินหลงทางคุณก็ยังจะพบกับความสวยงามได้ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย แต่ด้านในเมืองก็ยังคงความเงียบสงบเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ละตรอกซอกซอยเล็กๆพาคุณเชื่อมไปยังอีกตรอกหนึ่ง ตามแนวถนนเส้นเล็กๆมักจะมีบานประตูสีสันสดใสเรียงรายกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสีแดง เขียว หรือน้ำเงิน พร้อมกับลูกบิดประตูที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศมอลต้า ดูแล้วช่างสวยงามเพลินตาเหลือเดิน และเมื่อคุณเดินยังไปสุดแนวกำแพงเมือง คุณก็จะพบกับจัตุรัส Bastion ที่มีวิวของประเทศมอลต้าแบบพาโนรามาให้เห็นแบบเต็มๆ
เมื่อเดินเล่นมาเรื่อยๆคุณก็จะมาพบกับจัตุรัส Pjazza Mesquita ที่มีประตูบานสีเขียวตั้งอยู่ตรงกลางอย่างโดดเด่น ที่ตรงนี้อาจจะดูคุ้นตาสำหรับแฟนๆซีรี่ส์ Game of Thrones กันเพราะโลเคชั่นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ถ่ายทำเช่นกัน โดยเป็นฉากของซ่องของนิ้วก้อยในคิงส์แลนด์ดิ้ง ด้านในจัตุรัสจะมีร้านอาหารร้านหนึ่งตั้งอยู่ชื่อว่า Don Mesquita พร้อมประตูสีแดงด้านหน้า คุณสามารถมานั่งพักจิบชากาแฟหรือรับประทานตรงนี้ก่อนได้ ก่อนที่จะออกเดินทางต่อไปในเมือง Silent City
โบสถ์ St. Paul's Cathedral หรือ The Metropolitan Cathedral of Malta เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นจากซากของโบสถ์สไตล์อังกฤษ (Norman cathedral) ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคสมัยกลางแต่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1693 ในเมืองเอ็มดิน่าเองก็ได้รับผลกระทบมากมายเช่นกัน สถาปนิกชาวมอลทีส Lorenzo Gafà เป็นผู้วางแบบแปลนและสร้างโบสถ์นี้ขึ้นมาใหม่ โดยแล้วเสร็จในปี 1703 โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์หลักของโบสถ์ทั้งหมดในประเทศมอลต้าที่อยู่ในเขตปกรองของอาร์กบิชอป (Maltese Archdiocese) และสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่นักบุญเซนต์พอล (Conversion of St. Paul) หนึ่งใน 12 ผู้เผยแพร่ศาสนาที่มาพบเจอโบสถ์นี้โดยบังเอิญขณะที่เรือของเขากำลังโดนทำลายและอับปางลงขณะที่กำลังเดินทางไปยังกรุงโรมเมื่อปี ค.ศ. 60
เมื่อคุณก้าวเท้าเข้าไปด้านในโบสถ์ คุณจะเห็นแท่นบูชาตั้งอยู่ตรงกลางโบสถ์ และถึงแม้ว่าโบสถ์แห่งนี้จะไม่ได้ดูสวยงามเลิศหรูอลังการมากเท่าไรนัก หากแต่ว่าที่นี่เต็มไปด้วยเรื่องราวและประวัติศาสตร์มากมายภายใต้ภาพวาดทั้งหลายที่ปรากฏ ภาพวาดที่ตั้งอยู่ที่หลังแท่นบูชานั้นคือหนึ่งในผลงานของ Mattia Preti หนึ่งในศิลปินที่ทำการตกแต่งโบสถ์ St. John's Co-Cathedral ที่ตั้งอยู่ในเมืองวาเลตต้า ในภาพวาดนั้นคือภาพของนักบุญเซนต์พอลที่กำลังเดินทางไปยังเมืองดามัสกัส (Damascus)
เพดานของโบสถ์นั้นถูกปกคลุมไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังพร่ำพรรณนาถึงเรื่องราวชีวิตของนักบุญเซนต์พอล หนึ่งในภาพที่คุณไม่ควรพลาดเลยก็คือภาพที่อยู่เหนือแท่นบูชา โดยเป็นภาพในขณะที่เรื่อของนักบุญเซนต์พอลนั้นกำลังอับปางลงท่ามกลางพายุที่ถาโถมและการช่วยเหลือของพระเจ้าที่ทำให้นักบุญเซนต์พอลได้เดินทางมาถึงประเทศมอลต้าอย่างปลอดภัย ภาพนี้เป็นผลงานของ Mattia Preti อีกเช่นกัน โดยแล้วเสร็จก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในปี 1693
ถึงแม้ว่าเมืองเอ็มดิน่าจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ที่นี่เต็มไปด้วยร้านอาหาร คาเฟ่ และไวน์บาร์ ที่คุณสามารถมานั่งพักผ่อนได้ภายใต้บรรยากาศอันแสนสงบ นอกจากนั้นแล้วยังมีโรงแรมที่ตั้งอยู่ด้านในตัวเมืองสำหรับใครที่อยากเข้าพักที่นี่สักคืน อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ 7 แห่งและสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมอีก 3 แห่ง นั่นก็คือ The Mdina Experience, The Knights of Malta และ Malta Fun Trains ที่คุณสามารถไปเข้าชมได้พร้อมเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองเอ็มดิน่าและประเทศมอลต้า และถ้าหากใครกำลังมองหาของที่ระลึกอยู่ ในเมืองเอ็มดิน่าถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เหมาะในการเลือกซื้อของที่ระลึก โดยเฉพาะสินค้าประเภท Mdina Glass ที่มีต้นกำเนิดจากที่นี่
เรื่องและภาพ: Aphinya Kasemsukphaisan
การเดินทาง: รถบัสสาย 50, 51, 52, 53, 56, 109, 181, 182, 186, 201, 202 และ N50 สถานี Mdina