เวลาเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศนั้นๆคือการเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์ โดยพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไอซ์แลนด์หรือ The National Museum of Iceland แห่งนี้ ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1863 หรือกว่า 150 ปีมาแล้ว ที่นี่เป็นสถานที่จัดเก็บเรื่องราวความเป็นมาและวัฒนธรรมต่างๆในอดีตของประเทศไอซ์แลนด์ โดยมีนิทรรศการชื่อว่า "Making of a Nation" จัดขึ้นเพื่อแสดงถึงเรื่องราวที่สำคัญในอดีตของประเทศไอซ์แลนด์นี้ อย่างเช่น ความเป็นมาของประเทศ ผู้คน วัฒนธรรม การอยู่อาศัย และอีกมากมาย นิทรรศการแห่งนี้จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างนักท่องเที่ยวและประเทศไอซ์แลนด์ ให้ได้รู้จักกันมากยิ่งขึ้น
ทางพิพิธภัณฑ์มีไกด์นำทัวร์เป็นภาษาอังกฤษ ให้บริการฟรีในทุกๆวันเสาร์ 11:00 เป็นต้นไป ใช้เวลาประมาณ 45 นาที นอกจากนั้นแล้วยังมี Audio Guide ที่มีไว้คอยให้บริการในทุกๆวัน
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไอซ์แลนด์เป็นตึกขนาดใหญ่ มีทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกัน ด้านในพิพิธภัณฑ์มีร้านอาหารและคาเฟ่เล็กๆตั้งอยู่ เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในตัวพิพิธภัณฑ์ ก็จะพบกับรูปปั้นหลายขนาดเรียงรายกันอยู่ รูปปั้นเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตกทอดกันสืบมาตั้งแต่ยุคสมัยไวกิ้ง (Viking) ด้วยการจัดเรียงของเก่าตามไทม์ไลน์ ตามยุคสมัยต่างๆ ทำให้รู้สึกราวกับว่ากำลังเดินจากโลกในอดีตไปยังยุคปัจจุบัน
นิทรรศการ "Making of a Nation" เป็นนิทรรศการที่เปิดให้เข้าชมได้ตลอดเวลา มีการรวบรวมของเก่ากว่า 2,000 ชิ้น อาทิเช่น ผลงานศิลปะ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีเครื่องรางของขลังต่างๆที่ชาวไอซ์แลนด์ในอดีตนับถือกันอีกด้วย นิทรรศการนี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกพูดถึงไลฟ์สไตล์และการทำงานของชาวไอซ์แลนด์ในสมัยอดีต การปรับตัวต่างๆนานาเมื่อครั้งที่มีคนอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศนี้ครั้งแรกเมื่อปี 870 ส่วนที่สองพูดถึงการก่อตั้งชุมชม ส่วนที่สามจัดแสดงศิลปะและข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ และส่วนที่สี่เป็นการพูดถึงสังคมของชาวไอซ์แลนด์และภาษาที่ใช้
นอกจากนิทรรศการ Making of a Nation แล้ว ยังมีการจัดแสดงอื่นๆอีกมากมาย รวมไปถึงการจัดแสดงเครื่องประดับที่ชาวไอซ์แลนด์สวมใส่ในอดีตอีกด้วย นอกจากความสวยงามแล้ว สิ่งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดและการปรับตัวของชาวไอซ์แลนด์ในการนำเอาวัตถุดิบต่างๆมาทำเป็นเครื่องประดับและของใช้
งานฝีมือของขาวไอซ์แลนด์ในอดีตนั้นเรียกได้ว่าไม่แพ้ที่ไหนในโลก เฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไปจนถึงชิ้นใหญ่ ถูกประดับตกแต่งด้วยแพทเทิร์นต่างๆ รวมไปถึงรายละเอียดในการแกะสลัก หากแต่ว่ายังคงความสวยงามจากธรรมชาติเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นกล่องที่ทำมาจากไม้ หรือสิ่งทอต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ชีวิตของชาวท้องถิ่นในอดีต
โดยทั่วไปแล้ว การประมงมักจะเกิดขึ้นในประเทศหรือเมืองที่มีภูมิประเทศอยู่ติดกับทะเลหรือแม่น้ำ ประเทศไอซ์แลนด์ก็เช่นกัน ที่มีลักษณะภูมิประเทศที่ถูกล้อมรอบไปด้วยมหาสมุทร เรือที่เห็นอยู่ในภาพนี้ เป็นโมเดลจำลองเรือจริงที่ชาวไอซ์แลนด์ใช้ออกเดินทางเพื่อทำการประมง นอกจากนั้นแล้ว ประเทศไอซ์แลนด์ยังเคยสามารถเอาชนะกองทัพเรืออังกฤษได้ในสงครามปลาค็อด (Cod War) เมื่อครั้งที่เกิดการขัดแย้งกันในการขยายน่านน้ำประมงของประเทศไอซ์แลนด์
ชาวไอซ์แลนด์ส่วนมากจะนับถือศาสนาคริสต์ โดยได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอื่นๆในยุโรป แต่ในปัจจุบันนี้มีชาวไอซ์แลนด์ที่ไม่นับถือศาสนาใดๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุข
ประเทศไอซ์แลนด์ในอดีตนั้นเคยถูกในอดีตเคยถูกตกอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์นอร์เวย์ ต่อมาตกอยู่ใต้การปกครองของกษัตริย์เดนมาร์ก และในปี 1944 ก็ได้รับอิสรภาพมาเป็นประเทศไอซ์แลนด์ที่ปกครองตนเองอีกครั้ง รูปภาพของผู้ชายที่เห็นในภาพนั้น คือ Jón Sigurðsson ผู้นำการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิให้ประเทศไอซ์แลนด์เป็นอิสระอีกครั้งเมื่อสมัยศตวรรศที่ 19 นอกจากนั้นแล้ว Jón ยังเป็นนักเขียน บรรณาธิการ และนักการเมืองชื่อดังอีกด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีของประเทศไอซ์แลนด์ แต่เขาได้รับการยกย่องและถูกขนานนามโดยชาวไอซ์แลนด์ว่า "The Father of Iceland" และเพื่อเป็นการระลึกถึง Jón ในทุกๆปี ชาวไอซ์แลนด์ได้ตั้งให้วันที่ 17 มิถุนายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ Jón เป็นวันชาติไอซ์แลนด์ นอกจากนั้นแล้ว บนธนบัตรใบละ 1,000 EK ของไอซ์แลนด์ยังมีภาพของ Jón พิมพ์อยู่อีกด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 20 ศิลปินในประเทศไอซ์แลนด์ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นนักเขียนเสียมากกว่า หากแต่ว่าในปัจจุบัน มีศิลปินหน้าใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ และได้สร้างสรรค์ผลงานมากมาย อย่างเช่นที่เห็นในภาพนี้คือผลงานของ Ásdís Elva Pétursdóttir ในปี 2000 ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากชุดประจำชาติของไอซ์แลนด์
ในพิพิธภัณฑ์มีคาเฟ่และร้านขายของที่ระลึกตั้งอยู่ที่ชั้นกราวน์ ที่คาเฟ่นั้นเสิร์ฟทั้งชากาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆอีกมากมาย รวมไปถึงอาหารไอซ์แลนด์มื้อเบาๆอีกด้วย หลังจากเมื่อยล้าจากการเดินชมพิพิธภัณฑ์ มานั่งพักที่คาเฟ่นี้พร้อมช้อปปิ้งของที่ระลึกไปพลางๆได้ ที่ร้านขายของที่ระลึกมีทั้งหนังสือประวัติศาสตร์วัฒนธรรมให้เลือกซื้อมากมาย รวมไปถึงงานฝีมือต่างๆ
เวลาทำการคาเฟ่: วันที่ 1 พฤษภาคมถึงวันที่ 15 กันยายน วันจันทร์ถึงวันศุกร์ 09:00-17:00 วันเสาร์และอาทิตย์ 10:00-17:00 / วันที่ 16 กันยายรถึงวันที่ 30 เมษายน วันอังคารถึงวันศุกร์ 09:00-17:00 วันเสาร์และอาทิตย์ 10:00-17:00 (ปิดทุกวันจันทร์)
เวลาทำการร้านขายของที่ระลึก: เปิดตามเวลาทำการของพิพิธภัณฑ์
สำหรับใครที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมและศิลปะ City Card ของเมืองเรคยาวิก (Reykjavik) ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลย เจ้าบัตร City Card ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้คุณเข้าพิพิธภัณฑ์และงานจัดแสดงผลงานศิลปะเท่านั้น แต่คุณยังสามารถเดินทางด้วยรถบัสได้ฟรี และไปใช้บริการบ่อนำ้พุร้อนได้ฟรีอีกด้วย มากไปกว่านั้นยังมีส่วนลดอีกมากมายสำหรับร้านค้า และร้านอาหารต่างๆ ลองเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.visitreykjavik.is/city-card/
และนอกจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไอซ์แลนด์แล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์ในเมืองเรคยาวิกอีกมากมายที่น่าสนใจ เช่นพิพิธภัณฑ์ Icelandic Punk Museum, พิพิธภัณฑ์ Vikin Maritime Museum (Safnið við sjó inn) และพิพิธภัณฑ์ Saga Museum
เรื่อง: Aphinya Kasemsukphaisan
ภาพ: Lexi Wang
ที่อยู่: S uðurgata 41, 101 Reykjavík, Island
การเดินทาง: รถบัสสถานีสาย 1, 3, 6 หรือ 14 สถานี Háskóli Íslands หรือรถบัสสาย 11 หรือ 12 สถานี ÞjóðminjasafniðSite
เวลาทำการ: วันอังคารถึงวันอาทิตย์ 10:00-17:00 (ปิดทำการทุกวันจันทร์)
ราคา: ผู้ใหญ่ 2,000 EK / นักเรียนและผู้มีอายุมากกว่า 67 ปี 1,000 EK / อายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าฟรี
**หมายเหตุ: ตั๋วสำหรับพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไอซ์แลนด์ สามารถใช้ได้กับ The Culture House (Safnahúsið)
เว็บไซต์: www.thjodminjasafn.is