ประเทศอิตาลีเป็นประเทศที่มีสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และน่าดึงดูดใจ อีกทั้งยังมีธรรมชาติที่น่าค้นหาอีกมากมาย มาวันนี้เราจะพาไปเที่ยวที่กรุงโรม (Rome) เมืองหลวงของประเทศอิตาลีและหนึ่งในจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก กรุงโรมเป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่งที่ระบบขนส่งสาธารณะอาจจะไม่มาตรงเวลาเท่าไรนัก เพราะฉะนั้นเตรียมกำลังกาย กำลังใจ และรองเท้าดีๆสักคู่เพื่อมาเดินเที่ยวกัน และเพียงแค่มี Google Maps ในมือ คุณก็สามารถเดินเที่ยวได้อย่างสบายใจแล้ว ไปดูกันว่าถ้ามีเวลาแค่ 2 วันกรุงโรมจะไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง
โคลอสเซียม (Colosseum) เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงโรม ในประเทศอิตาลี และในโลก โคลอสเซียมคืออัฒจันทร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยยุคจักรวรรดิโรมัน สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสนามสำหรับแข่งขันระหว่างนักรบและสัตว์ดุร้าย ด้านในมีทั้งหมด 4 ชั้นด้วยกันโดยพื้นที่ทั้งหมดนี้สามารถจุผู้ชมได้ถึง 40,000-70,000 คนเลยทีเดียว นอกจากนั้นแล้วที่นี่ยังมีพื้นที่แบ่งแยกสำหรับชนชั้นต่างๆอีกด้วย โดยทำการแยกพื้นที่สำหรับชนชั้นกลางถึงชนชั้นสูงและพื้นที่สำหรับชนชั้นต่ำ
เพื่อเข้าไปชมด้านใน คุณสามารถซื้อตั๋วซึ่งเป็นตั๋วรวมสำหรับโคลอสเซียม โรมันฟอรัม (Roman Forum) และเนินเขาปาลาติเน (Palatine Hill) ได้เลย โดยโรมันฟอรัมนั้นคือสถานที่สำคัญอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นสถานที่ที่ชาวโรมันโบราณนั้นใช้ชีวิตอยู่ โดยมีศาลเจ้า องค์กรต่างๆ และพื้นที่ชุมชนที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นซากปรักหักพังหลงเหลืออยู่ให้เห็นอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณได้อ่านประวัติความเป็นมาของโรมันฟอรัมแห่งนี้มาก่อนล่วงหน้า แน่นอนว่าเมื่อคุณมาถึงจะต้องทำการจินตนาการภาพผู้คนในสมัยนั้นใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากผู้คนให้ความสนใจโคลอสเซียมเป็นอย่างมากจึงแนะนำว่าควรซื้อตั๋วมาก่อนล่วงหน้า และถึงแม้จะมีค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายเล็กน้อย แต่ก็น่าจะดีกว่ามาเสียเวลาในการต่อคิวซื้อตั๋ว หรือถ้าไม่อย่างนั้นคุณสามารถเดินไปซื้อตั๋วที่โรมันฟอรัมหรือที่เนินเขาปาลาติเนได้เนื่องจากมีคิวที่สั้นกว่า ตั๋วที่ซื้อมานั้นมีอายุการใช้งาน 2 วัน
ที่อยู่: Piazza del Colosseo, 1, Rome
เวลาทำการ:
วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคมถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 08:30-16:30
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ถึงวันที่ 15 มีนาคม 08:30-17:00
วันที่ 16 มีนาคมถึงวันเสาร์สุดท้ายของเดือนมีนาคม 08:30-17:30
วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคมถึงวันที่ 31 สิงหาคม 08:30-19:15
วันที่ 1 ถึงวันที่ 30 กันยายน 08:30-19:00
วันที่ 1 ตุลาคมถึงวันเสาร์สุดท้ายของเดือนตุลาคม 08:30-18:30
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 12€ / พลเมืองยุโรปอายุระหว่าง 18-25 ปี 7.50€ / อายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าฟรี / ฟรีทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน / ค่าธรรมเนียมในการซื้อตั๋วออนไลน์ 2€
จัตุรัสเวเนเซีย (Piazza Venezia) แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ใก้ลกันกับอนุสาวรีย์พระเจ้าวิคเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emmanuel II) และ Venetian Palace ที่เคยถูกใช้เป็นออฟฟิศของนักการเมืองชาวอิตาเลียนช่ือดังอย่างเบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) โดยจากด้านบนตรงอนุสาวรีย์นั้น คุณสามารถมองเห็นถนน Corso ได้อย่างชัดเจน โดยจัตุรัสแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองการกลับมารวมตัวกันอีกครั้งของประเทศอิตาลี มากไปกว่านั้น พระเจ้าวิคเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 ที่อยู่ตรงรูปปั้นนั้นก็เป็นหนึ่งในฮีโร่ของชาวอิตาเลียนที่มีส่วนร่วมในการกลับมารวมตัวของประเทศอีกด้วย ที่ด้านในเปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้ฟรีเพื่อให้เข้าไปเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศอิตาลีมากขึ้น
ที่อยู่: Piazza Venezia, Rome
เวลาทำการ: 09:00-19:00
เดินออกมาไม่ไกลจากจัตุรัสเวเนเซียเท่าไรนัก ก็จะพบกับอีกหนึ่งจัตุรัส นั่นก็คือจัตุรัสคัมปิโดลยิโอ (Campidoglio) ที่ออกแบบโดยไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) โดยคำว่า "Campidoglio" ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า "เมืองหลวง" และเพื่อให้มองเห็นจัตุรัสทั้งหมดและวิวที่สวยงาม คุณจะต้องยอมเดินขึ้นบันไดไปสักหน่อย ที่ปลายทางสุดบันไดนั้นจะมีรูปปั้นของฝาแฝด Dioscuri ตั้งอยู่ ซึ่งทั้ง 2 คนนี้เป็นคนเอาชนะผู้บุกรุกในสมัยโรมันโบราณ (Roman Republic) ได้สำเร็จ
ที่อยู่: Piazza del Campidoglio, Rome
หลังจากเดินเล่นกันมาสักพักก็แวะมาเติมพลังกันที่ร้านอาหารไม่ไกลจากโคลอสเซียมและจัตุรัสเวเนเซีย ร้านอาหาร Ai Tre Scallini มีเมนูอาหารมากมายหลายอย่างให้เลือกและมีลาซานญ่า (Lasagna) และราวิโอลี (Ravioli) เป็นจานซิกเนเจอร์ของทางร้าน โดยลาซานญ่าเป็นอาหารจากทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี มีส่วนประกอบของแป้งพาสต้าแบบแผ่นแทนที่จะเป็นแบบเส้น วางทับซ้อนลงไปกับชีสและซอสเนื้อหรือซอสรากู (Racu) และถึงแม้ว่าลาซานญ่าจะถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในประเภทของพาสต้า หากแต่ว่ารสชาติและเนื้อสัมผัสมีความแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่ราวิโอลีนั้นจะมีลักษณะคล้ายๆเกี๊ยว เป็นแป้งพาสต้าห่อไส้เอาไว้ด้านใน โดยจะเป็นไส้ผัก ชีส หรือเนื้อสัตว์ก็ได้ทั้งหมด สำหรับอาหารจานเรียกน้ำย่อยของทางร้าน ทางเราแนะนำให้สั่งสลัดคาเปรเซ่ (Caprese Salad) ที่มีมะเขือเทศและมอสซาเรลล่าชีส ช่วยเพิ่มเติมความสดชื่น
ที่อยู่: Via Panisperna, 251, Rome
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 12:00-01:00
หนึ่งในถนนช้อปปิ้งที่มีนักท่องเที่ยวมาเดินเยอะที่สุดในกรุงโรมคือถนนช้อปปิ้ง Via del Corso ที่ลากยาวตั้งแต่จัตุรัสเวเนเซียไปจนถึงจัตุรัสโปโปโล ที่นี่มีทั้งแบรนด์อิตาลีท้องถิ่นมากมาย ร้านอาหาร และคาเฟ่ให้เลือกจนนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าต้องการอะไรที่ถนนนี้มีให้หมด บอกได้เลยว่าพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะนอกจากจะเป็นถนนช้อปปิ้งชื่อดังแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในกรุงโรมก็อยู่บนถนนเส้นนี้อีกด้วย
น้ำพุในกรุงโรมนั้นมีให้เห็นอยู่ทั่วไป หากแต่ว่าน้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) แห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นน้ำพุที่สวยที่สุดแล้วในกรุงโรม และยังเป็นหนึ่งในน้ำพุที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย ด้วยเหตุนี้น้ำพุเทรวี่จึงไม่ใช่น้ำพุธรรมดา หากแต่ว่ามีรูปหินแกะสลักมากมายที่ถูกนำมาประดับตกแต่งจนสวยงามเกินบรรยายและถ้ามองเข้าไปใกล้ๆจะเห็นได้ว่ามีโพไซดอน (Poseidon) สมุทรเทพหรือพระเจ้าแห่งมหาสมุทรตั้งอยู่ตรงกลาง โดยรูปแกะสลักของโพไซดอนนั้นถูกแกะสลักมาจากหินก้อนใหญ่ก้อนเดียว แกะสลักในสไตล์บาโรก (Baroque) ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18
นอกจากนั้นแล้วถ้ามองลงไปในน้ำจะเห็นได้ว่าใต้บ่อน้ำพุนั้นเต็มไปด้วยเหรียญสกุลเงินจากทั่วทุกมุมโลกที่ถูกนำมาโยนลงไปในบ่อด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าหากยืนหันหลังแล้วโยนเหรียญด้วยมือขวาผ่านไหล่ซ้าย จะทำให้ได้กลับมาที่น้ำพุแห่งนี้อีกครั้ง แต่ก็มีความเชื่ออีกหนึ่งความเชื่อนั่นก็คือ เหรียญแรกที่โยนลงไปจะทำให้คุณได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เหรียญที่ 2 จะทำให้คุณได้พบกับคนที่คุณรักและจะรักกันไปตลอดกาล และเหรียญที่ 3 จะทำให้คุณและคนที่คุณรักต้องแยกจากกัน เพราะฉะนั้นแล้ว สำหรับใครที่ต้องการจะมาเยือนที่นี่อีกครั้ง อย่าลืมไปโยนเหรียญแรกในชีวิตลงไปในน้ำพุเทรวี่แห่งนี้ล่ะ
ที่อยู่: Piazza di Trevi, Rome
มหาวิหารแพนธีออน (Pantheon) เป็นมหาวิหารที่เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าเทพเจ้า มีลักษณะเหมือนวิหารโรมันและมีรูปปั้นของนักบุญนิกายคาทอลิกมากมายตั้งอยู่ที่ด้านใน ไฮไลท์ของที่นี่คือเพดานด้านบนของมหาวิหารแพนธีออนที่โดมสูงแต่กลับไม่มีเสาตั้งค้ำและเป็นเวลากว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา เพดานโดมโค้งสูงนี้ก็ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมสภาพเลยสักครั้ง นอกจากนั้นในวันที่แดดออก แสงอาทิตย์สามารถส่องเข้ามาผ่านหลังคาโดมได้อย่างมหัศจรรย์ หากแต่ว่าในวันที่ฝนตกกลับไม่มีน้ำฝนรั่วลงมาสักหยดเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ เป็นเพราะรูที่เกิดขึ้นบนเพดานนั้นน้ำฝนสามารถทะลุผ่านเข้าไปได้ก็จริง แต่ว่าได้เกิดการระเหยออกไปเสียก่อนที่จะทะลุเข้าไปด้านในตัวมหาวิหาร เนื่องจากความดันอากาศด้านในมหาวิหารและด้านนอกนั้นค่อนข้างแตกต่างกัน
ที่อยู่: Piazza della Rotonda, Rome
เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 09:00-19:30 / วันอาทิตย์ 09:00-18:00
ค่าเข้า: เปิดให้เข้าชมฟรี
คนอิตาเลียนนิยมดื่มกาแฟกันเป็นอย่างมาก มากจนกาแฟทั่วไปนั่นหาดื่มได้ง่ายและมีราคาถูก โดยคาเฟ่ 3 อันดับที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในกรุงโรมก็คือคาเฟ่ Antico Caffe Greco ใกล้กันกับบันไดสเปน, คาเฟ่ Sant Eustachio ไม่ไกลจากมหาวิหารแพนธีออน และคาเฟ่ Tazza D'oro ที่ตั้งอยู่ข้างมหาวิหารแพนธีออน
ทางร้านทำการคั่วเมล็ดกาแฟใหม่ทุกเช้าด้วยเมล็ดกาแฟจากทางอเมริกาใต้ ทำให้กลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่ว สำหรับใครที่เป็นคอกาแฟ แนะนำว่าให้ทดลองกาแฟลาเต้ของทางร้านดู หรือถ้าอยากลองกาแฟสไตล์อิตาเลียนแท้ๆก็คงจะหนีไม่พ้นเอสเพรสโซ่ ในช่วงซัมเมอร์ที่อากาศร้อนๆ กาแฟเย็นกรานิต้าสักแก้วก็คงจะดีไม่น้อยเลย โดยเจ้ากาแฟเย็นกรานิต้านี้คือการนำเอาครีมสดมาวางเอาไว้บนเอสเพรสโซ่เย็น เป็นการผสมผสานระหว่างครีมสดหวานๆกับกาแฟเอสเพรสโซ่ขมๆ
ที่อยู่: Via degli Orfani, 84, Rome
เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 07:00-20:00 / วันอาทิตย์ 10:30-19:15
จัตุรัสที่มีความครึกครื้นอยู่ตลอดเวลาของกรุงโรมคงจะหนีไม่พ้นจัตุรัสนาโวนา (Piazza Navona) แห่งนี้ เต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่มากมาย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการมานั่งจิบกาแฟในวันสบายๆ พลางมองดูเหล่าศิลปินมากหน้าหลายตามาเปิดการแสดงที่ตรงนี้ ที่จัตุรัสนี้มีน้ำพุอยู่ทั้งหมด 3 ที่ด้วยด้สน นั่นก็คือน้ำพุ Nettuno, น้ำพุ Fiumi และน้ำพุ Moro น้ำพุทั้ง 2 ที่ที่เห็นในภาพนั้นถูกออกแบบโดย จีอันโลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini) สถาปนิกสไตล์บอรอกชื่อดังและถูกสร้างขึ้นโดย Giovanni Antonio Mari และน้ำพุ Fuimi นั้นถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของแบร์นินีเลยก็ว่าได้ ข้างๆกันกับน้ำพุ Fuimi มีเสา Obelisk แท่งใหญ่ตั้งอยู่เป็นเสาที่ถูกขโมยมาจากประเทศอียิปต์
นอกจากนั้นแล้วก็ลองเข้าไปชมด้านในโบสถ์ Sant'Agnese In Agone ที่เป็นโบสถ์สไตล์บาโรก สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของจัตุรัสนาโวนา ที่เดียวกับที่นักบุญอักแนส (Saint Agnese) หนึ่งใน 4 ของนักบุญหญิงชาวคริสต์เตียนที่ถูกเปลือยกายและมัดเอาไว้โดยคนที่ต้องการที่จะกำจัดเธอ ณ ตอนนั้นเกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นเพราะว่าจู่ๆเส้นผมของเธอก็ยาวยืดออกมาเพื่อปกคลุมร่างกายของเธอจนมิดชิดเพื่อปกป้องเรือนร่างที่เปลือยเปล่าของเธอต่อสาธารณะชน ที่ด้านในของตัวโบสถ์นั้นถูกตกแต่งด้วยสีทองเป็นหลักบวกกับหินสีหลากหลายสีสันทำให้ตัวโบสถ์นั้นดูสวยงามและมีสีสันที่สดใส
ที่อยู่: Piazza Navona, Rome
ร้านอาหาร Cantina e Cucina ตั้งอยู่ห่างจากจัตุรัสนาโวนาเพียงเดินเท้า 3 นาที ในช่วงอาหารกลางวันมักจะไม่มีคิวแต่ถ้าหากเป็นช่วงดินเนอร์ละก็ คิวยาวแน่นขนัดเลยทีเดียว ใครที่อยากไปลองรับประทานพิซซ่า พาสต้า และอาหารอิตาเลียนอื่นๆที่ร้านอาหารนี้ แนะนำว่าให้ไปในช่วงประมาณ 18:00-19:00 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนท้องถิ่นยังไม่เริ่มรับประทานอาหารเย็น แต่ถ้าเป็นหลัง 19:00 เป็นต้นไปแล้ว อาจจะต้องรอคิวนานหน่อย นอกจากอาหารที่อร่อยแล้ว ในร้านยังมีบรรยากาศที่ค่อนข้างแตกต่างจากร้านอาหารอื่นๆ มีการตกแต่งร้านที่เป็นไปในแบบของตัวเอง
ที่อยู่: Via del Governo Vecchio, 87, Rome
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 11:00-01:00
นครรัฐวาติกันหรือ Vatican City ถือว่าเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลกที่มีพื้นที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ได้รับการขนานนามว่าเป็น "ศูนย์กลางแห่งศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก" ประเทศนี้ตั้งอยู่ในกรุงโรม แต่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในกรุงโรมและตั้งอยู่ในประเทศอิตาลีอีกที แต่ก็ถือว่านครรัฐวาติกันแห่งนี้เป็นประเทศอิสระและมีอำนาจปกครองตนเอง ทำให้ทุกครั้งที่เดินทางเข้าไปยังนครรัฐวาติกันจะต้องมีการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเอ็กซเรย์กระเป๋าและเครื่องสแกนต่างๆ นอกจากนั้นแล้วที่นี่ยังเป็นสถานที่ที่พระสันตะปาปาอาศัยอยู่อีกด้วย และถ้าหากในช่วงไหนที่พระสันตะปาปาทรงประจำการอยู่ที่นครรัฐวาติกัน พระองค์จะทรงออกมาพบปะประชาชนทุกๆวันพุธและมีการกล่าวปราศรัยในทุกๆวันอาทิตย์
เมื่อไปถึงอย่าพลาดที่จะเข้าไปชมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Basilica) หรืออีกชื่อหนึ่งคือมหาวิหารนักบุญเปโตร ซึ่งเป็นมหาวิหารที่มีความอลังการและสวยงามเป็นอย่างมาก ถูกสร้างขึ้นมาในสไตล์เรเนซองส์ (Renaisannce) และบาโรก และเมื่อเดินขึ้นไปที่ด้านบนของโดมไมเคิลแองเจโล (Michelangelo Dome) ก็จะพบกับวิวที่น่าตื่นตะลึง มองลงมาจะเห็นจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter's Square) ทั้งหมดและมองเห็นลากยาวไปถึงปราสาทซันตันเจโล (Castle of the Holy Angel) เลยทีเดียว ว่ากันว่ารูปวงกลมของจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์และถนนที่ทอดยาวออกไปนั้น มีลักษณะคล้ายรูปลูกกุญแจที่จะเป็นกุญแจไขไปยังสวรรค์ ซึ่งรูปกุญแจนี้เองเป็นสัญลักษณ์ของจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์
นอกจากมหาวิหารและจัตุรัสที่สวยงามแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museum) ที่เต็มไปด้วยผลงาน Masterpiece ของศิลปินชื่อดังอย่างไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) ไม่ว่าจะเป็น The Creation of the World, The Last Judgment และ Raffaello's The School of Athens.
อีกหนึ่งเรื่องที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ถ้าหากคุณกำลังวางแผนจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่นครรัฐวาติกันแห่งนี้ แนะนำว่าควรแต่งกายให้มิดชิด ใส่เสื้อมีแขนและกางเกงขายาว เพราะถ้าหากแต่งกายไม่มิดชิด เสื้อแขนกุดหรือกางเกงขาสั้น คุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ได้
ที่อยู่: พิพิธภัณฑ์วาติกัน - Viale Vaticano, Rome / จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ - VA Piazza San Pietro, 00120 Città del Vaticano, Vatican
เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 09:00-18:00 (ประตูปิดตอน 16:00) / ทุกวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน 09:00-14:00 (ประตูปิดตอน 12:30)
ค่าเข้า: ผู้ใหญ่ 17€ / ผู้ที่ถือบัตรนักเรียน International 8€ / Audio Guide 8€
ร้านเจลาโต้ Old Bridge คือหนึ่งในร้านเจลาโต้ชื่อดังของกรุงโรม มีประวัติความเป็นมากว่า 25 ปี ตั้งอยู่ไม่ไกลจากนครรัฐวาติกันนี่เอง เรียกได้ว่าเดินเที่ยวเสร็จก็ออกมาหาอะไรสดชื่นรับประทานกันต่อได้เลย อีกทั้งยังมีอีกหนึ่งสาขาที่ย่าน Trastevere และอีกหลากหลายสาขาตามสถานที่ท่องเที่ยวอีกด้วย เจลาโต้รสชาติที่ขายดีและเป็นที่นิยมมากที่สุดเห็นจะเป็นรสข้าวและรสชีส นอกจากนั้นยังสามารถสั่งท็อปปิ้งเพิ่มเติมได้อีกด้วย
ที่อยู่: Viale dei Bastioni di Michelangelo, Rome
เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงวันเสาร์ 10:00-02:00 / วันอาทิตย์ 14:30-02:00
ถ้าหากเดินตรงตามถนนที่ทอดยาวจากนครรัฐวาติกัน ก็จะมาถึงที่ปราสาทซันตันเจโล (Castle of the Holy Angel) หรือในภาษาอิตาเลียน Castel Sant'Angelo แรกเริ่มเดิมทีนั้น ที่นี่ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิฮาดริอานุส (Hadrianus) แห่งจักรวรรดิโรมัน เพื่อเป็นสุสานสำหรับตัวพระองค์เองและสมาชิกในตระกูล แต่ว่าหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน สถานที่แห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนมาใช้เป็นป้อมปราการสำหรับนครรัฐวาติกัน และในปัจจุบันนี้ก็ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ทหารเรียบร้อยแล้ว ถ้าสังเกตที่ด้านบนของตัวปราสาทจะเห็นได้ว่ามีรูปปั้นของเทวดาตั้งอยู่ มีเรื่องเล่ากล่าวขานกันมาว่าเมื่อสมัยศตวรรษที่ 6 ได้เกิดโรคระบาดกาฬมรณะขึ้น ส่งผลให้ผู้คนล้มตายกันเป็นเบือ แต่เมื่อมีเทวดานามว่าไมเคิล (Michael) ปรากฏตัวขึ้นมา โรคระบาดนั้นก็ได้หายไปแทบจะในทันที นอกจากตัวปราสาทแล้วยังมีสะพานที่เชื่อมต่อตัวปราสาท ขนาบข้างไปด้วยรูปแกะสลักของเหล่าเทวดาและเทพธิดาทั้งหมด 10 รูปด้วยกัน ราวกับว่ากำลังช่วยกันป้องกันตัวปราสาทอยู่ สะพานแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปที่สำคัญโดยเฉพาะในตอนกลางคืนที่มีการเปิดไฟบนสะพาน
ที่อยู่: Lungotevere Castello, 50, Rome
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 09:00-19:30
ค่าเข้า: 14€
ถ้าหากเดินข้ามแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber) ที่ตัดผ่านกรุงโรมมา ก็จะพบกับหมู่บ้านเล็กๆอย่างหมู่บ้าน Trastevere เป็นหมู่บ้านที่มีชาวยิว ชาวโรมัน และชาวซีเรียอาศัยอยู่ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วจนถึงปัจจุบันนี้ ทำให้บริเวณนี้นั้นเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยร้านอาหารและอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านพิซซ่าโฮมเมด คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก และร้านขนมหวานต่างๆ ถ้าหากคุณเผลอหลุดเข้าไปเดินเล่นในย่านนี้ในตอนเย็นๆ บอกได้เลยว่าคุณจะหลงเสน่ห์ความน่ารักของที่นี่เข้าเต็มเปา
ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ลองเดินขึ้นไปบนเนินเขา Janiculum ในย่าน Trastevere นี้ คุณจะได้พบกับวิวของกรุงโรมที่สวยงามเกินบรรยาย นอกจากนั้นตรงนี้ยังอยู่ใกล้กันกับตลาดขายของมือสอง Porta Portese ตลาดชื่อดังของกรุงโรมที่เปิดทุกๆวันอาทิตย์อีกด้วย
ที่อยู่: 00153 Rome
หนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในกรุงโรมที่มักจะเห็นชื่อผ่านตาไปมาอยู่ในลิสต์ร้านอาหารแนะนำของกรุงโรมในหลายๆเว็บไซต์และไกด์บุ้ค ร้านอาหาร Carlo Menta เป็นร้านอาหารที่เป็นที่โปรดปรานของคนท้องถิ่น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่าน Trastevere อาหารที่นี่ราคาถูกแสนถูก คุณสามารถมารับประทานพิซซ่าได้ในราคา 3-8€ นอกจากนั้นยังมีพาสต้า Gamberi ชื่อดังของทางร้านที่ราคา 8€ เท่านั้น เรียกได้ว่าทั้งอิ่ม อร่อย แถมราคาสบายกระเป๋าอีกด้วย
ที่อยู่: Via della Lungaretta, 101, Rome
เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงศุกร์ 12:00-23:30 / วันเสาร์และอาทิตย์ 12:00-00:00
รูปปั้นแกะสลักที่เห็นอยู่ในภาพนี้คือประติมากรรมปากแห่งสัจจะหรือ The Mouth of Truth ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลและว่ากันอีกว่าเจ้าประติมากรรมแผ่นนี้จริงๆแล้วถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นฝาปิดท่อระบายน้ำ อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่กล่าวขานกันมานั้นจริงหรือไม่ ยังมีเรื่องเล่าอีกว่าในช่วงยุคสมัยกลาง ขณะที่มีการสอบสวนหรือพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเมืองและการปกครอง ผู้นั้นจะต้องนำมือเข้าไปในช่องปากของประติมากรรมปากแห่งสัจจะและจะถูกขู่ว่าถ้าไม่พุดความจริงจะถูกตัดมือ ตั้งแต่นั้นมา ประติมากรรมแผ่นนี้ก็ถูกเรียกว่า The Mouth of Truth มาจนถึงปัจจุบันนี้ ในภาพยนตร์เรื่อง "Roman Holiday" ที่มุมนี้เป็นสถานที่ที่ Audrey Hepburn และคนรักของเขานำมือเข้าไปในปากและพูดคุยล้อเลียนเกี่ยวกับประติมากรรมนี้ หากแต่ในที่สุดทั้ง 2 ก็ได้สูญเสียมือของเขาไป
ที่อยู่: Piazza della Bocca della Verità, 18, Rome
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 09:30-17:50
อาจจะมีหลายคนที่ชอบเดินตลาดสดหรือตลาดขายของเก่าตามประเทศต่างๆเพื่อซึมซับบรรยากาศ ถ้าหากเป็นที่กรุงโรมก็ต้องที่นี่เลยที่ตลาดดอกไม้ Campo de' Fiori ตั้งอยู่ใจกลางเมืองไม่ไกลจากมหาวิหารแพนธีออนและจัตุรัสนาโวนา แต่แนะนำว่าให้ไปเดินตอนเช้าเพราะช่วงหลังจากเที่ยงไปถึงตอนบ่ายตลาดจะเริ่มวายแล้ว ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นตลาดดอกไม้หากแต่ว่าก็ยังมีสินค้าอื่นๆมาวางขายบ้างประปราย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบประกอบอาหารต่างๆหรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มชื่อดังอย่าง Limoncellos ในช่วงกลางคืน ในบริเวณนี้จะครึกครื้นและเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางมานั่งที่บาร์หรือมารับประทานดินเนอร์ที่ร้านอาหาร เรียกได้ว่าบรรยากาศตอนเช้าและตอนกลางคืนนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ที่อยู่: Piazza Campo de' Fiori, Rome
หนึ่งในร้านเจลาโต้ 3 อันดับของกรุงโรมได้แก่ร้าน Giolitti ตั้งอยู่ใกล้กันกับมหาวิหารแพนธีออน รสชาติของเจลาโต้ของทางร้านจะเน้นไปทางเบอร์รี่ชนิดต่างๆ นอกจากนั้นยังมีรสแตงโมที่เป็นที่โปรดปรานของลูกค้าร้านนี้ อย่างไรก็ตาม รสชาติของเจลาโต้ร้าน Giolitti จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามฤดูกาลและวัตถุดิบที่หาได้ในช่วงนั้นๆ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ถ้าคุณตั้งใจจะไปรับประทานเจลาโต้รสนี้แต่ทางร้านไม่มีเสิร์ฟ แต่นั่นก็ถือเป็นโอกาสดีที่คุณจะได้ลงชิมรสชาติใหม่ๆดู
ที่อยู่: Via degli Uffici del Vicario, 40, Rome
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 07:00-01:00
อีกหนึ่งถนนช้อปปิ้งที่ไม่ควรพลาดคือถนนช้อปปิ้ง Via dei Condotti ถนนทอดยาวไปยังบันได้สเปน (Spanish Steps) ที่เป็นถนนช้อปปิ้งที่ขนาบข้างไปด้วยช้อปแบรนด์เนมหรูหรามากมายไม่ว่าจะเป็น Gucci หรือ Prada แบรนด์เนมชื่อดังของประเทศอิตาลี อีกทั้งยังมี Chanel, Louis Vuitton และอีกมากมายให้เลือกช้อปปิ้งกันจนเพลิดเพลินเลยทีเดียว
อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของกรุงโรมก็คือบันไดสเปน (Spanish Steps) เป็นที่รู้จักกันในฐานะสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "Roman Holiday" ที่ Audrey Hepburn มานั่งรับประทานเจลาโต้ที่ตรงนี้ ย้อนกลับไปเมื่อสมัยศตวรรษที่ 17 ที่นี่เป็นที่ตั้งของสถานกงสุลประเทศสเปนประจำประเทศอิตาลี จึงเป็นที่มาของชื่อบันไดสเปนนั่นเอง บันไดที่เห็นอยู่ทั้งหมดนี้มี 137 ขั้น ที่ด้านบนคือหอระฆังของโบสถ์ Trinita dei Monri และมีเสา Obelisk ตั้งอยู่ตรงกลาง ด้วยความที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งและเป็นแลนด์มาร์กของกรุงโรม ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวตลอดทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ถ้าหากต้องการจะถ่ายรูปสวยๆโดยไม่มีคน แนะนำว่าให้ไปในช่วงเช้าหน่อยตอนที่สถานที่ช้อปปิ้งและร้านค้ายังไม่เปิดทำการ
ที่อยู่: Piazza di Spagna, Rome
ขนมหวานที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของประเทศอิตาลีก็คงจะหนีไม่พ้นทีรามิสุ ร้าน Pompi ตั้งอยู่ที่หน้าบันไดสเปน บนถนน Condotti ในกรุงโรมนั้นมีอยู่เพียง 2 สาขาเท่านั้น อีกสาขาหนึ่งตั้งอยู่ออกไปไกลเสียหน่อยจากสถานที่ท่องเที่ยว หากแต่ว่าคุณสามารถไปที่สาขานั้นได้และดื่มด่ำกับรสชาติของทีรามิสุสุดเข้มข้นอย่างสงบสุข สาขาบันไดสเปนนี้จะค่อนข้างเล็กและมีโต๊ะยืนเพียง 2-3 โต๊ะเท่านั้น ถ้าหากคุณไม่ได้ต้องการซื้อมารับประทานเลย แนะนำว่าให้ซื้อแบบแช่แข็งและนำกลับไปรับประทานที่โรงแรม
ที่อยู่: Via della Croce, 82, Rome
เวลาทำการ: วันจันทร์ถึงวันศุกร์ 10:30-22:00 / วันเสาร์และอาทิตย์ 10:30-23:00
จัตุรัสโปโปโล (Piazza del Popolo) มีความหมายว่าจัตุรัสสำหรับสาธารณะชน จัตุรัสนี้มีรูปร่างกลม และมี Port Popolo ตั้งอยู่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของประตูที่กั้นระหว่างกรุงโรมและโลกภายนอก และที่ตรงกลางจัตุรัสแห่งนี้มีเสา Obelisk เสาหนึ่งตั้งอยู่ เป็นเสาที่ถูกขโมยมาจากประเทศอียิปต์โดยจักพรรดิออกัสตัส (Emperor Augustus) เมื่อตอนที่สามารถเอาชนะประเทศอียิปต์ได้ และถ้าหากยืนอยู่ตรงกลางจัตุรัส จะเห็นได้เสา Obelisk นี้ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยโบสถ์ Santa Maria dei Miracoli และโบสถ์ Sana Maria Montesanto ราวกับว่าเป็นโบสถ์ฝาแฝดกันอย่างไรอย่างนั้น
ที่อยู่: Piazza del Popolo, Rome
หลังจากเดินเที่ยวกันอย่างสบายใจมาทั้งวัน มาเติมพลังที่ร้านอาหาร Naumachia ตั้งอยู่ห่างจากโคลอสเซียมเพียงเดินเท้า 10 นาที หลายคนอาจจะรู้สึกเบื่อพิซซ่าหรือพาสต้ากันแล้ว มาลองรับประทานริซอตโต้ที่ร้านนี้ดู ริซอตโต้จะมีวัตถุดิบหลักคือข้าวริซอตโต้ ปรุงรสด้วยหลากหลายวัตถุดิบไม่ว่าจะเป็นชีส มะเขือเทศ เห็ดทรัฟเฟิล และอื่นๆอีกมากมาย เมนูที่ทางร้านแนะนำคือ Naumakiia Seafood Risotto ที่ทำมาจากอาหารทะเลหลากหลาย ทั้งกุ้ง หอยแมลงภู่ และปลาหมึก
ที่อยู่: Via Celimontana, 7, Rome
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 11:00-00:00
เรื่อง: Aphinya Kasemsukphaisan
ภาพ: Yuna LEE