ภาพหมู่มวลดอกลาเวนเดอร์ในโพรว๊องซ์เป็นภาพที่ทำให้คนมากมายตกหลุมรักกับแคว้นนี้ และวาดฝันที่อยากจะมีรูปสวยๆท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีม่วงสุดตระการตานี้ ในแคว้นโพรว๊องซ์นั้นมีทุ่งลาเวนเดอร์เล็กๆอยู่หากหลายที่ แต่ถ้าหากจะต้องเลือกปักหมุดที่ใดที่หนึ่งเพื่อพาตัวเองไปถูกล้อมรอบด้วยลาเวนเดอร์ ก็คงต้องไปที่ Plateau de Valensole หรือบริเวณที่ราบสูงวาลองโซลนั่นเอง
บริเวณที่มีชื่อเสียงเรื่องผลิตภัณฑ์หรือการปลูกลาเวนเดอร์นั้นของประเทศฝรั่งเศส ได้แก่ Luberon, Vaucluse (รอบๆหมู่บ้านSault), และที่ราบ Valensole ที่ราบแห่งนี้มีความสูงเกือบ 600 เมตรเหนือน้ำทะเล และมีพื้นที่ราวๆ 800 ตารางกิโลเมตร โดยที่บริเวณส่วนใหญ่นั้นอุทิศให้กับดอกลาเวนเดอร์ ธัญพืช และต้นไม้ต่างๆ เช่น ต้นอัลมอนด์ และต้นมะกอก สิ่งที่ทำให้บริเวณที่ราบวาลองโซลนั้นมีชื่อเสียงและโดดเด่นก็คงไม่พ้นความกว้างสุดลูกหูลูกตาของทุ่งลาเวนเดอร์ เหมือนกับท้องทะเลสีม่วงที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกลาเวนเดอร์
หากใครที่เคยมาเที่ยวที่โพรว๊องซ์ก็ต้องตกหลุมรักแคว้นนี้เป็นอย่างแน่นอน อยากอยู่ไปเรื่อยๆ ยิ่งรอบนอกของเมืองยิ่งมีความน่ารัก น่าหลงใหลอย่างสุดๆ ด้วยวิวทิวทัศน์ที่สบายตาและผ่อนคลายกายา แต่แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถอยู่ตลอดไปได้ด้วยภาระงานที่รออยู่ ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจะใช้เวลาสั้นๆเพียงหนึ่งวันเพื่อมาถ่ายรูปและนั่งรถผ่านเพื่อดูทุ่งลาเวนเดอร์รอบ แต่หากมีเวลาจริงๆ เราแนะนำให้นอนพักที่นี่อย่างน้อยสัก 2 วัน 1 คืน หรือถ้าสามารถยืดไปได้สัก 3 วันก็จะยิ่งดี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อที่จะได้ดื่มด่ำความสวยงามของสถานที่ วิวพระอาทิตย์ตก และอาหารได้อย่างเต็มที่
สีสันของแคว้นโพรว๊องซ์มีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล แต่ไม่ว่าจะฤดูกาลไหนก็ล้วนแล้วแต่น่าอัศจรรย์ หากเดินทางมาที่โพรว๊องซ์ในฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม-เมษายน) ก็จะได้พบกับสีของต้นอัลมอนด์ที่กำลังผลิดอกออกผล แต่หากเป้าหมายของคุณคือสีม่วงของดอกลาเวนเดอร์ก็จะเป็นช่วงระหว่างกลางเดือนหรือปลายเดือนมิถุนายนไปจนถึงเดือนกรกฎาคม ช่วงเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิในแต่ละปีด้วย เพราะความร้อนหรือฝนก็มีผลต่อการออกดอกของเจ้าดอกไม้สีม่วงแสนสวยนี้
แคว้นโพรว๊องซเป็นโซนที่ค่อนข้างร้อนและแดดแรงกว่าโซนอื่นๆในช่วงซัมเมอร์ เราจึงขอแนะนำว่าให้เริ่มกิจกรรมต่างๆในตอนเช้าเพื่อบรรเทาอาการเพลียแดด และใช้เวลาพักในช่วงบ่ายก่อนที่จะออกมาชมบรรยากาศของทุ่งลาเวนเดอร์อีกครั้งฝนช่วงบ่ายแก่หรือสี่โมงเย็นไปแล้ว เนื่องจากฤดูร้อนในยุโรปนั้นค่อนข้างที่จะมีความร้อนขึ้นกว่าเมื่อก่อน อย่าลืมที่จะพกอุปกรณ์กันแดดต่างๆและดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันความร้อน
ข้อเสียอย่างนึงของ Plateau de Valensole คือการเดินทางนั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และก็ต้องยอกมรับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆของที่ราบสูงแห่งนี้ตั้งอยู่ค่อนไกลจากกัน เพราะฉะนั้นการเดินทางที่ง่ายที่สุดสำหรับการเที่ยวในบริเวณนี้คือการเช่ารถขับ ส่วนการเดินทางจากปารีสมายังที่โพรว๊องนั้น สามารถทำได้โดยการนั่งรถไฟความเร็วสูงมายังสถานีAix en Provence Gare TGV โดยปกติแล้วใช้เวลาอยู่ที่ 3 ชั่วโมง และถ้าหากใครพักอยู่เมืองใหญ่อย่างมาเซยย์ก็สามารถนั่งรถไฟมาได้เช่นกันโดยใช้เวลาเพียงแค่ 15 นาทีจากสถานี Marseille Saint Charles ข้อควรระวัง คือ ตอนที่จองตั๋วรถไฟให้สังเกตที่สถานีปลายทางให้ดีเพราะจะมีตัวเลือกสถานีที่มีคำว่า Aix อยู่สองสถานี ได้แก่ Aix en Provence Gare TGV (รถไฟความเร็วสูง) โดยสถานีนี้อยู่ห่างจากเมือง Aix ไป 18 กิโลเมตร และอีกอันคือ Aix en Provence ที่จะตั้งอยู่ใกล้ใจกลางตัวเมือง หากเดินทางจากปารีส Aix en Provence Gare TGV เป็นสถานีที่ถึงเร็วกว่าและสะดวกกว่า เมื่อถึงที่สถานีก็สามารถขึ้นรถชัตเติลบัสได้หากต้องการเข้าไปดูที่ซิตี้เซ็นเตอร์ หรือสามรถที่จะเช่ารถขับจากสถานีรถไฟไปยัง Valensole ได้เช่นกัน โดยการขับรถนั้นใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น หากไม่อยากเช่ารถจากสถนีรถไฟก็สามารถที่จะขึ้นรถบัสไปที่เมือง City of Greoux les Bains แต่อย่างไหร่ก็ตาม เมื่อไปถึงที่เมืองดังกล่าวก็ยัคงต้องอาศัยรถเพื่อที่จะเข้าเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ หากใครที่มีปัญหาเรื่องการเช่ารถขับก็คงต้องแนะนำให้จองทัวร์หรือคนขับรถส่วนตัวล่วงหน้า
Lavender Road หรือ ถนนสายลาเวนเดอร์นั้นต้องยกเครดิตให้กับการท่องเที่ยวของภูมิภาค DLVA (Durance, Luberon และ Verdon Agglomeration) ถนนเส้นนี้มีจุดเริ่มต้อนจาก Gréoux les Bains ไปยังหมู่บ้าน Valensole โดยทอดผ่านทุ่งลาเวนเดอร์บนที่ราบวาลองโซลนั่นเอง Gréoux les Bains เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการชื่นชมความสวยงามของทุ่งดอกไม้สีม่วง เนื่องจากเป็นบริเวณที่ไม่ไกลจากที่พักและร้านอาหาร และยังอยู่ใกล้กับวาล็องโวลอีกด้วย (15 นาทีหากขับรถ) ใน Gréoux เองนั้น มีออฟฟิศการท่องเที่ยวที่ช่วยให้ข้อมูลการเดินทางและแผนที่ฟรีที่จะช่วยให้การท่องเที่ยวนั้นสะดวกสบายยิ่งขึ้น
การเที่ยวชมทุ่งลาเวนเดอร์นั้นสามารถทำได้ 2 วิธี อย่างแรก คือ วิธีการปั่นจักรยานสำหรับใครก็ตามที่อยากเที่ยวแบบรักษ์โลกและผจญภัยแบบสนุกสนานเสียหน่อย สำหรับวันที่เราไปเที่ยวที่ทุ่งลาเวนเดอร์นี้นั้น เราเลือกใช้บริการของ Bachelas Bike Shop ใน Gréoux les Bains (ที่อยู่ 21 Chemin Neuf) ราคาของค่าเช่าจักรยานนั้นขึ้นอยู่กับประเภทจักรยานที่คุณเลือก โดยราคานั้นมีตั้งแต่ 14 ยูโร ถึง 30 ยูโร สำหรับการเช่าครึ่งวัน หากเช่าเต็มวันก็จะอยู่ที่ 24 ยูโร ถึง 42 ยูโร และแน่นอนว่าเราเลือกที่จะออกมาเที่ยวชมทุ่งลาเวนเดอร์กันตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนและแดดที่เผาไหม้ ความสวยของทุ่งลาเวนเดอร์นั้นคุ้มค่ากับการตื่นเช้าอย่างที่สุด
และเมื่อเข้าช่วงบ่ายแก่เราก็กลับมาทุ่งลาเวนเดอร์อีกครั้งด้วยรถยนต์ เพื่อใช้ช่วงเวลาโพล้เพล้ไปกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน
ก่อนหน้าที่ทุ่งลาเวนเดอร์จะกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ทุ่งดอกไม้นี้เป็นส่วนหนึ่งของเกษตรกรรมพื้นเมือง ชาวไร่จะเก็บเกี่ยวลาเวนเดอร์ในฤดูร้อน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ค่อนข้างยุ่งสำหรับชาวไร่ที่นี่ แน่นอนว่าเจ้าของสวนลาเวนเดอร์ยินดีและเต็มใจต้อนรับนักท่องเที่ยวตราบใดที่นักท่องเที่ยวไม่ทำให้กิจกรรมของเหล่าเกษตรกรนั้นได้รับผลกระทบ
สิ่งแรกที่ควรรู้ คือ เหล่าดอกลาเวนเดอร์ที่บานสะพรั่งอยู่ในทุ่งนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาตัด ดังนั้นห้ามเด็ดหรือตัดดอกลาเวนเดอร์เด็ดขาด หากต้องการซื้อติดมือกลับบ้าน กรุณาหาซื้อจากร้านค้ารอบๆ ข้อต่อไปที่ไม่ควรทำ คือ เดินเข้าไปในทุ่งโดยไม่ได้รับอนุญาต หากต้องการภาพที่ถ่ายในทุ่ง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นทุ่งที่อยู่ใกล้ๆกับร้านขายของที่ระลึกรอบทุ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นให้สอบถามกับผู้ดูแลก่อนที่จะเดินเข้าไปยังทุ่งลาเวนเดอร์ หากได้รับอนุญาตให้เดินเข้าไปในทุ่งลาเวนเดอร์ กรุณาเดินตามแถวและไม่เดินตัดจนทำให้ทดอกลาเวนเดอร์ได้รับความเสียหาย ท้ายที่สุด หากมีทุนทรัพย์มากพอก็อาจจะช่วยสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตในบริเวณสักหน่อย
ในบริเวณวาล็องโซลนี้มีผู้ประกอบการผลผลิตจากลาเวนเดอร์อยู่มากกว่า 70 เจ้า นอกจากผลผลิตจากลาเวนเดอร์ ผู้ประกอบการเหล่านี้ยังมีผลผลิตจากมะกอก อัลมอนด์ ผลไม้ และธัญพืชต่างๆอีกด้วย บางเจ้านั้น นอกจากจะเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วก็ยังแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกด้วย ในโอกาสนี้ เราได้เข้าไปเยี่ยมชมร้านรวงต่างๆ 3 ร้านด้วยกัน ได้แก่ Lavandes Angelvin, Terraroma, และ le Domaine des Grandes Marges.
ผู้ประกอบการเหล่านี้ประกอบกิจการมาหลายรุ่น ร้านของ Lavande Angelvin และ Terraroma ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกัน ทั้งสองครอบครัวนี้มีบริเวณที่จัดสรรสำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูปในทุ่งลาเวนเดอร์โดยไม่รบกวนผลผลิตหรือการเก็บเกี่ยวของพวกเขา ภายในร้านนั้นมีผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆไม่ว่าจะเป็นน้ำมันสกัดจากลาเวนเดอร์ สบู่ เครื่องสำอาง และยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากอัลมอนด์และมะกอกอีกด้วย รวมไปถึงของแฮนเมดต่างๆ
Le Domaine des Grandes Marges ตั้งอยู่ไม่ไกลจากทั้งสองร้านที่กล่าวไปก่อนหน้า เรามีโอกาสได้พูดคุยกับ Françoise Jaubert ซึ่งเป็นหัวหน้ากิจการครอบครัวนี้พร้อมกับลูกขายขอเธอที่ชื่อว่า Alex Le Domaine des Grandes Marges ประกอบกิจการมาเป็นรุ่นที่ 4 แล้ว โดยผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปและวางขายในร้านมีหลากหลาย ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากลาเวนเดอร์ มะกอก อัลมอนด์ น้ำผึ้ง และ สารสกัดจากพืช Helichrysum arenarium ที่มีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูผิวให้สุขภาพดี
ผลิตภัณฑ์หลักที่ได้จากดอกลาเวนเดอร์นั้นก็จะเป็นสินค้ากลุ่มน้ำมันสกัดจากดอกลาเวนเดอร์ โดยทั่วไปแล้วจะมีน้ำมันสกัดอยู่ 2 ประเภทที่มีให้เห็นที่วาล็องโซล ได้แก่ Lavande fine และ Lavandin Lavandin จะมีกลิ่นที่แรงกว่า ตัวดอกประเภท Lavandin นั้นจะมีก้านที่ยาวกว่าและแยกออกเป็นสามยอดที่มีดอกไม้ ตัวดอกไม้เองก็จะมีความม่วงมากกว่า ส่วน Lavande fine นั้นจะมีก้านสั้นกว่า ดอกไม้มีสีม่วงที่ออกไปทาคล้ำกว่า Lavande fine จะมีก้านดอกตรงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น น้ำมันสกัดจาก Lavande fine เป็นสารสกัดที่เหมาะกับการใช้ในเรื่องของกลิ่นบำบัด ช่วยให้นอนหลับสบายและผ่อนคลาย รวมไปถึงใช้ในการบำรุงผิวพรรณด้วย ตัวน้ำมันสกัดจาก Lavandin มีฤทธิ์ช่วยไล่แมลงต่างๆ และช่วยเพิ่มกลิ่นหอมภายในบ้าน และอีกหนึ่งเกร็ดความรู้เล็กน้อย lavande fine นั้นเป็นพันธุ์ดอกลาเวนเดอร์ที่สามารถรับประทานได้ แต่ Lavandin นั้นไม่สามารถรับประทานได้ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจาก Lavandin นั้นจะมีราคาถูกกว่า Lavande fine
นอกจากถนนสายลาเวนเดอร์แล้ว ภายในพื้นที่ของที่ราบวาล็องโซลยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกหลายอย่างให้ค้นพบ และแน่นอนว่าเราได้รวบรวมรายการที่น่าสนใจมาให้แล้ว
Valensole เป็นหมู่บ้านที่น่ารักและมีชีวิตชีวา โดยชื่อ Valensole (วาล็องโซล) นี้ได้นำมาใช้เป็นชื่อเรียกที่ราบที่อยู่รอบหมู่บ้าน หมู่บ้านแห่นี้ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองออกไปก็จะเห็นพื้นที่ของทุ่งลาเวนเดอร์ที่บางสะพรั่งในทุกๆฤดูร้อน ชื่อ Valensole นั้นมีที่มาจากภาษาละติน โดยเป็นการนำเอาคำว่า ‘Vallis’ และ‘Solis’ มารวมกันซึ่งมีความหมายว่าหุบเขาแห่งพระอาทิตย์ บ้านเรือนในเมืองนั้นตกแต่งด้วยดอกไม้ ทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาและสดใส เมืองแห่งนี้มีผู้อาศัยอยู่ราว 3,000 คน บรรยากาศของหมู่บ้านและภูมิประเทศในเมืองนี้เป็นบรรยากาศสบายๆ มีน้ำพุตั้งอยู่หลายแห่งเพื่อเพิ่มความสดชื่นให้กับบริเวณรอบๆ เสียงร้องของจักจั่นและบรรยากาศที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่เสมอทำให้หมู่บ้านเล็กแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรค่าต่อการเดินทางมาเยี่ยมชม ทุกวันสุดสัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือนกรกฎาคม จะมีการจัดเทศกาลลาเวนเดอร์หรือ fête de la lavande ขึ้น ซึ่งถือเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่นำเอาวัฒนธรรมการเต้นและดนตรี รวมไปถึงการจัดแสดงนิทรรศการ ตลาด และเวิร์คช็อปมาเป็นกิจกรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมความงามของทุ่งดอกลาเวนเดอร์
Verdon Gorge เป็นแอ่งน้ำที่มีความยาวประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งทอดยาวตามแนวแม่น้ำVerdon บริเวณต้นน้ำมีทะเลสาบ Castillon และเมื่อไปถึงช่วงก่อนที่เป็นหุบจะมีบริเวณที่เรียกว่า Grand Canyon ต่อด้วยส่วนของทะเลสาบ Sainte-Croix ก่อนจะไปถึงส่วนล่างของแอ่งน้ำนี้และบริเวณทะเลสาบ Esparron ส่วนสุดท้าย
เมื่อเดินเข้าไปยังส่วน Lower Verdon Gorges ธรรมชาติต่างๆในบริเวณนี้อยู่ในส่วนที่เรียกว่าเขตป่าอนุรักษ์ของภูมิภาค การเดินในบริเวณนี้จะต้องเดินไปตามทางที่ทำไว้ให้เพื่อไปยังปลายทาง
อีกหนึ่งวิธีในการสำรวจธรรมชาติในบริเวณนี้ คือ การเช่าเรือไฟฟ้าหรือคายัค การนั่งเรือเพื่อชมธรรมชาติเป็นความรู้สึกที่น่าตื่นเต้นและสนุกไปพร้อมๆกัน ความรู้สึกของการถูกล้อมรอบด้วยธรรมชาติ บนพื้นน้ำสีมรกตเป็นการพักผ่อนร่างกายที่เพลิดเพลินอีกแบบ
ร้านอาหารที่เสิร์ฟอาหารจากโพรว๊องที่เราเลือกทานมีชื่อว่า Restaurant Relais Notre Dame (ที่ตั้ง RD 11, 04500 Quinson) ที่ตั้งของร้านอาหารแห่งนี้เคยเป็นไปรษณีย์มาก่อนที่จะถูกดัดแปลเป็นโรงแรมและร้านอาหารในทุ่สุด ในร้านแห่งนี้มีอาหารหลากหลายให้เลือก ส่วนทางเรานั้นได้เลือกเป็นเมนูปลาเทร้าต์ที่จับมาได้จากในทะเลสาบนั่นเอง
Esparron Lake เป็นทะเลสาบขนาด 328 เฮกเตอร์ ที่ขุดสร้างขึ้นโดยมนุษย์ในปี1947 โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ และในปัจจุบันก็ยังคงใช้เพื่อจุดประสงค์การกักเก็บน้ำเพื่อใช้สอยใน Aix en Provence และ มากเซยย์ และเเน่นอนว่าทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่ง
หมู่บ้าน Esparron-de-Verdon ตั้งอยู่บนหน้าผาที่ยื่นมาบรรจบกับแหล่งน้ำสีฟ้าคราม สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การล่องเรือไฟฟ้า หรือพายคายัค เพื่อให้ทะเลสาบเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ให้กับริเวณนี้ การใช้เรือที่สร้างมลภาวะให้กับแหล่งน้ำนั้นไม่ได้รับการอนุญาตให้นำมาใช้ในพื้นที่นี้
นอกจากนี้แล้วยังมีบริการล่องเรืออีกด้วย ซึ่งมีให้บริการเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น เรือนี้เดินทงจากท่า Esparron-de-Verdon port บริการล่องเรือนี้มีชื่อว่า "Verdon Croisières" ซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงบนเรือ พร้อมการบรรยายภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในฤดูร้อน การล่องเรือเปิดให้บริการทุกวัน เวลา 11:00 น. 15:00 น. 16:30 น. และ 18:00 น. โดยมีราคาอยู่ที่ 10 ยูโร และ 5 ยูโรสำหรับนักเรียนและเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี สามารถใช้บริการได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
เมืองใกล้กับ Gréoux-les-Bains เป็นเมืองโรมันเก่าที่มีบ่น้ำร้อนและยังได้รับความนิยมอยู่ น้ำพุร้อนนี้มีความร้อนอยู่ที่ 42°C และมีแร่ซัลเฟอร์ แคลเียม แมกนีเซียม และจุลธาตุอื่นๆ ซึ่งมีผลดีต่อการรักษาระบบทางเดินหายใจและอาการข้ออักเสบต่าง
เป็นเวลากว่าหลายศตวรรษที่บ่อน้ำร้อนในเมืองนี้ได้ให้บริการเเก่ผู้คนที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น น้องสาวขอนโปเลียน เป็นต้น ถึงแม้ว่าน้ำพุร้อนนี้จะมีประโยชน์หลักๆสำหรับการรักษาโรค แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถนำมาใช้ในการผ่อนคลายหรือสปาได้เช่นกัน โดยมีค่าบริการเริ่มต้นตั้งแต่ 48 ยูโร ไปจนถึง 156 ยูโร ขึ้นอยู่กับโปรแกรมหรือรูปแบบที่เลือก บริการสปาที่โดดเด่นและสะดวกสบายแห่งหนึ่งที่เราแนะนำ คือ การสปาในเคโอลิน หรือ ดินขาว
Gréoux เป็นหมู่บ้านที่มีความสวยงามและน่าค้นหา เพอร์เฟ็คสำหรับการพักผ่อน มีโรงแรมและที่พักให้เลือกหลากหลาย ล้วนแล้วแต่มีความสวยงาม การเดินทางไปครั้งนี้ เราได้เข้าพักในโรงแรมระดับ 3 ดาวสุดสบาย โรงแรมชื่อว่า "Villa Borghese" (ที่ตั้ง Av. des Thermes, 04800 Gréoux-les-Bains)
โรงแรมแห่งนี้มีร้านอาหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในสวน และมีบริการอาหารที่หลากหลาย
นอกจากนั้นแล้วเรายังได้ไปเยี่ยมชมโรงแรมและสปา Villa Castellane (ที่ตั้ง 171 Av. des Thermes, 04800 Gréoux-les-Bains) โรงแรมนี้สร้างอยู่ใกล้กับที่ซึ่งเคยเป็นทีตั้งบ้านพักรับรองของ Marquis de Castellane.
ส่วนสปาและห้องออกกำลังกายของวิลล่าเป็นบริเวณเปิด และมีสระว่ายน้ำที่ล้อมรอบด้วยกระจก บรรยากาศรอบล้วนแล้วให้ความรู้สึกสบายใจจากการพักผ่อน
และแน่นอนว่าเราเองก็ได้ลิ้มลองอาหารที่มีความฟิวชั้น ผสมผสานเอาวัตถุดิบพื้นเมืองของโพรว๊องซ์เข้ามาสร้างเป็นเมนูอาหาร Gréoux เป็นภูมิภาคที่น่าค้นหาในหลายๆมุมมองทั้งที่ตั้ง ความหลากหลายของร้านอาหารและตัวเลือกโรงแรม รมไปถึงของฝากต่างๆ และความเชี่ยวชาญด้านสปาที่ผ่อนคลาย เพระฉะนั้นจึงเป็นเมืองที่เราขอแนะนำให้เหล่านักเดินทางเข้าไปเยี่ยมเมืองแห่งนี้ หากมีโอกาสได้เดินทางมาที่โพรว๊องซ์
เรื่องและภาพ : Vincent Sacau