เมืองหลวงของประเทศมอลต้าและหนึ่งในเมืองหลวงที่เล็กที่สุดในยุโรป เมืองวาเลตต้า (Valletta) เป็นหนึ่งในเมืองมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรก (Baroque) เมืองวาเลตต้าเป็นเมืองป้อมปราการ ตั้งอยู่บนเนินคาบสมุทรที่ยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีพื้นที่เพียง 1 กิโลเมตรคูณ 600 เมตรเท่านั้น ด้วยความที่มีขนาดเล็กและเต็มไปด้วยสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมายทำให้วาเลตต้าเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่สามารถเข้าชมได้โดยการเดินเท้า ห้อมล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวและวิวที่สวยงามมากมาย เมืองวาเลตต้าอาจจะดูเล็กก็จริง หากแต่ว่าเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายซ่อนตัวอยู่ทั่วทุกมุมเมือง
ในการที่จะเดินทางเข้าไปยังเมืองวาเลตต้า ทุกคนจะต้องเดินผ่านประตูเมืองวาเลตต้า (Valletta City Gate) ตั้งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์รวมรถบัส คุณจะต้องเดินผ่านจัตุรัสขนาดใหญ่ที่มีน้ำพุ Triton และอนุสาวรีย์ Triton 3 ตัวตั้งตระหง่านอยู่ Triton เป็นสัญลักษณ์ของทะเลทำหน้าที่ต้อนรับทุกคนที่เดินทางมาที่ประเทศมอลต้าและเมืองวาเลตต้า เมื่อเดินตรงจากน้ำพุ Triton ก็จะพบกับประตูเมืองที่มีดีไซน์ทันสมัย ประตูเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นใหม่ถึง 5 ครั้งด้วยกัน เมื่อครั้งที่สร้างเสร็จก็จะถูกรื้อถอนทำลายและสร้างใหม่จนกระทั่งการก่อสร้างใหม่ครั้งล่าสุดเมื่อปี 2011 แล้วเสร็จในปี 2014 ภายใต้ดีไซน์ของ Renzo Piano
เมื่อเดินเข้ามาในตัวเมืองแล้ว คุณจะพบกับตึกอาคารหินปูนสไตล์โมเดิร์นหน้าตาสวยงาม ที่นี่คืออาคารรัฐสภาประจำประเทศมอลต้า (Parliament of Malta) สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2014 โดยสถาปนิกคนเดียวกับที่ออกแบบประตูเมืองและ Royal Opera House นั่นก็คือ Renzo Piano ดีไซน์ของตัวอาคารนี้ไม่เพียงแต่ดูสวยงามเท่านั้น หากแต่ว่ายังสามารถช่วยให้ตึกระบายความร้อนจากรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์และให้แสงแดดในช่วงกลางวันส่องผ่านได้มากขึ้น ถึงแม้ว่าที่นี่จะเป็นอาคารรัฐสภา หากแต่ว่าด้วยความที่เป็นตึกสไตล์โมเดิร์น ทำให้ที่นี่กลายเป็นมุมถ่ายรูปอีกมุมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมหยุดถ่ายรูปกัน นอกจากนั้นที่ตรงนี้ยังเป็นจุดนัดพบของ Free Walking Tour ในเมืองวาเลตต้าอีกด้วย ถ้าหากคุณต้องการเข้าร่วม Free Walking Tour คุณสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าและเข้าร่วมได้ฟรี ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที
หนึ่งในสถานที่ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือการเข้าชมโบสถ์ St. John's Co-Cathedral อาสนวิหารร่วมในนิกายโรมันคาทอลิกที่สร้างขึ้นโดยภาคีในนักบุญเซนต์จอห์น (Order of St. John) ระหว่างปี 1572 จนถึงปี 1577 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 17 ทางโบสถ์ก็ได้มีการตกแต่งภายในอีกครั้งโดย Mattia Preti ร่วมกับศิลปินสไตล์บาโรกท่านอื่นๆ ทำให้โบสถ์แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในโบสถ์สไตล์บาโรกที่สวยที่สุดในทวีปยุโรป
ถนนเส้นหลักในเมืองวาเลตต้านั้นมักจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวมากมาย ในตัวเมืองเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ ในตัวเมืองนั้นเต็มไปด้วยมุมถ่ายรูปมากมายที่บอกได้เลยว่าคุณจะต้องหยุดถ่ายรูปตลอดทาง ในเมืองวาเลตต้านั้นเต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่ที่ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น ร้านขายของที่ระลึกก็มีมากมาย มีของที่ระลึกหลากหลายให้เลือกซื้อ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแล้ว ที่นี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งที่ที่คุณจะสามารถเอ็นจอยกับการช้อปปิ้งได้อย่างเต็มที่
ด้วยความที่เมืองวาเลตต้านั้นตั้งอยู่บนเนินคาบสมุทรทำให้บางส่วนของเมืองนั้นเต็มไปด้วยเนินสูงที่อาจจะต้องใช้พลังงานมากหน่อยในการเดินขึ้นลง เสน่ห์ของเมืองที่เต็มไปด้วยเนินเขาก็คือคุณจะเห็นร้านคาเฟ่และบาร์มากมายเปิดตามขั้นบันได โต๊ะและเก้าอี้ต่างๆตั้งอยู่บนขั้นบันไดที่ไม่เท่ากัน มีไฟห้อยระโยงระยางเพิ่มเติมสีสันให้กับบรรยากาศ ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น ลองจินตนาการตัวคุณนั่งอยู่ตรงนั้น มีกาแฟร้อนๆหรือเบียร์เย็นๆสักแก้ว จิบพลางมองดูผู้คนสัญจรไปมา
เมืองวาเลตต้านั้นมักจะค่อนข้างวุ่นวายในช่วงเวลากลางวันที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวมอลทีสสัญจรไปมา หากแต่ว่าในช่วงกลางคืนนั้น เมืองได้เปลี่ยนไปเป็นเมืองที่แสนจะเงียบสงบ น้ำพุ Triton จะเปิดไฟขึ้นเมื่อท้องฟ้ามืดลง คุณสามารถขึ้นไปชมวิวน้ำพุได้ที่ด้านบนกำแพงเมืองหรือจะไปนั่งเล่นที่ริมน้ำพุก็ได้พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว อย่าพลาดโอกาสที่จะไปเยือนเมืองที่เป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของประวัติศาสตร์อย่างเมืองวาเลตต้าเด็ดขาด
เรื่องและภาพ: Aphinya Kasemsukphaisan