พิพิธภัณฑ์ Orangerie แห่งนี้เป็นสถานที่ซึ่งอยู่ในลิสต์ของแฟนอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ต้องมาให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต สาเหตุนั่นก็เพื่อมาชื่นชมชุดภาพเขียน WATER LILIES หรือชุดภาพเขียนสระบัวของโมเนต์นั่นเอง พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของสวนสาธารณะตุยเลอรี อยู่ห่างจากสถานีเมโทร Concorde ไม่เกินระยะการเดินเท้า 5 นาที โดยรวมๆแล้วในส่วนของการจัดแสดงงานถาวรภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงผลงานศิลปะกว่า 100 ชิ้น และยังมนิทรรศการชั่วคราวหมุนเวียนเปลี่ยนไปมาตลอดปี
เมื่อเดินเข้ามายังส่วนจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ คุณจะพบกับภาพวาดสระบัวของโมเนต์ขนาดใหญ๋ที่ชั้น G และที่บริเวณชั้น 1 จะมีเป็นบริเวณของร้านขายของที่ระลึก และหากเดินลงบันไดมายังชั้นใต้ดิน ก็จะได้พบกับนิทรรศการชั่วคราวที่จัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆ ขนาดของพิพิธภัณพ์แห่งนี้ถือว่าไม่ใหญ่มากนักหากลองเทียบกับพิพิธภัณฑ์อื่นๆในปารีส แต่ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก ก็เต็มไปด้วยผลงานศิลปะและเรื่องราวที่น่าสนใจ ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่ได้มีเพียงภาพเขียนสระบัวของโมเนต์ที่น่าสนใจ แต่ยังมีการบอกเล่าเรื่องราวของวิวัฒนาการแนวความคิด ลัทธิทางศิลปะต่างๆในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคของลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ และพัฒนาสู่โพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ในศตวรรษที่ 20
นอกจากห้องกว้างที่จัดแสดงผลงานของโมเนต์แล้ว ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีผลงานของศิลปินคนอื่นๆอีกมากมาย เช่น Alfred Sisley, Claude Monet, Paul Cézanne, Henri Matisse, Pablo Picasso, Paul Gauguin, และ Kees van Dongen
ภายในพิพิธภัณฑ์ คุณจะได้พบกับภาพเขียนสระบัวจำนวน 8 ภาพ ซึ่งได้รับบริจาคมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพเขียนเหล่านี้ได้รับการจัดแสดงภายในห้องรูปทรงรีขนาดสองคูหา ภาพเขียนแต่ละภาพมีความสูง 2 เมตร และกว้าง 91 เมตร ซึ่งการนำภาพเขียนมาวางเรียงกันทั้ง 8 ภาพ เป็นการนำเสนอภาพของสระบัวที่เมือง Giverny ในลักษณะพาโนรามา โดยสระบัวแห่งนี้มีความสำคัญ คือ เป็น สระบัวที่ตั้งอยู่ใกล้ที่พักของโมเนต์ ในช่วงบั้นปลายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ภาพเขียนทั้ง 8 อ้างอิงถึงสระบัวสระเดียวกัน แต่ให้บรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป โดยเป็นเสน่ห์ของโมเนต์ที่ชื่นชอบการลงสีตามความงามของแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงเวลาของวัน นับว่าเป็นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโมเนต์ซึ่งสามารถสังเกตได้จากผลงานอื่นๆของเขา เช่น ภาพเขียนวิหารแห่งเมืองรูอ็อง (CATHEDRAL DE ROUEN) หรือ ภาพเขียนกองฟาง (LES MEULES) เป็นต้น ภาพเขียนเหล่านี้ล้วนบรรยายถึงสถานที่ แต่วาดสื่ออกมาในหลายอารมณ์ โดยใช้การเล่นสี เลียนแบบตามแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงของวัน
โมเนต์เขียนภาพเหล่านี้ขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงมีการตีความกันไปว่าภาพเขียนสระบัวนี่มีความหมายถึง การเรียกร้องสันติสุขและความสงบ การหลบหนีออกมาจากความรุนแรงของสงคราม หากพิจารณาภาพเขียนชื่อดังภาพนี้จะเห็นได้ว่าโมเนต์พยายามอย่างมากที่จะสร้างความสมจริงให้กับการเคลื่อนไหวของน้ำ ดอกไม้ ท้องฟ้า และต้นไม้ ซึ่งเป็นการสร้างองค์ประกอบที่สมจริงให้กับภาพได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยเทคนิคการผสมโดยตรงบนผืนผ้าใบ ทำให้ภาพเขียนออกมามีลักษณะเหมือนกับภาพสามมิติ หากได้นั่งมองภาพนี้ก็จะสามารถจินตนาการได้ถึงลมที่กำลังพัดผ่าน ธรรมชาติ และความงดงามที่โมเนต์ได้เห็นในขณะสร้างสรรค์ผลงาน องค์ประกอบต่างๆในภาพล้วนแล้วแต่บรรยายสภาพแวดล้อมและความรู้สึกของโมเนต์ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
พื้นที่สุดสงบและเต็มไปด้วยความหมายแห่งนี้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางออกสำหรับใครก็ตามที่กำลังต้องการหนีจากความวุ่นวายเพื่อปลดปล่อยความคิด เเละนั่งอยู่กับความเงียบ ห้องแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สวยที่สุดในปารีส หรืออาจจะกล่าวได้ว่าสวยที่สุดในโลกก็ว่าได้
ภาพด้านบนเป็นผลงานของ โอกุสต์ เรอนัวร์ (Auguste Renoir) มีชื่อผลงานว่า JEUNES FILLES AU PIANO (แปลว่า เด็กสาวกับเปียโน) ซึ่งสร้างสรรค์ขึ้นในปี 1892 เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของ เรอนัวร์ คือ การเขียนภาพที่บรรยายความรู้สึก เรอนัวร์นั้นเป็นศิลปินที่ชื่นชอบการเขียนภาพเหมือนสตรี เขามักจะเขียนภาพผู้หญิงที่สวมชุดขาวซึ่งเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความงาม ภาพเขียนเด็กสาวกับเปียโน เป็นภาพเขียนที่มีรายละเอียด นุ่มลึกและอาจจะทำให้คุณได้สัมผัสถึงความงดงามภายในโลกของเด็กผู้หญิง โมเนต์และเรอนัวร์เป็นจิตรกรอิมเพรสชั่นนิสม์ หากแต่วิธีการนำเสนอภาพของทั้งสองนั้นช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ภาพเขียนด้านบนเป็นผลงานของ Paul Cézanne หรือ ปอล เซซาน มีชื่อว่า POMME ET BISCUITS (แปลว่า แอปเปิ้ลและบิสกิต) ใช้เวลาเขียนตั้งแต่ปี 1879 ถึง 1880 ผลงานชิ้นนี้เป็นการถ่ายทอดความคิดและจินตนาการของตัวจิตรกรเอง ภายในภาพนี้ เซซานตั้งใจเขียนภาพของแอปเปิ้ลให้มีลักษณะคล้ายกับพีช ภาพเขียนนี้เน้นไปที่น้ำหนักของการลงสีและความสมดุลของแอปเปิ้ลสีแดงและมีลักษณะเป็นทรงกลมตามจินตนาการของจิตรกร
อ็องรี มาติส (Henri Matisse) เป็นศิลปินที่โด่งดังในเรื่องของการใช้สีสันสดใสในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ เน้นการสร้างสรรค์ผลงานตามจิตวิญญาณ หรือที่เรียกว่า ลัทธิโฟวิสม์ (fauvism) นั่นเอง ศิลปินผู้นี้ให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณที่แท้จริงของมนุษย์ เช่น ความต้องการทางกายภาพ ที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของแต่ละคน ในอดีต มาเนต์ (Manet) ซึ่งเป็นเจ้าพ่อแห่งวงการอิมเพรสชั่นนิสม์ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ด้วยนิทรรศการ OLYMPIA ณ พิพิธภัณฑ์ Orsay ซึ่งเป็นงานที่มีอิทธิพลต่อศิลปินในศตวรรษที่ 20 อย่างมาก อ็องรีก็เป็นศิลปินคนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากภาพเขียนของมาเนต์ อ็องรีมักใช้ภาพของหญิงสาวในฮาเร็ม หรือ Odalisque เป็นจุดเด่นในผลงานของเขาอยู่บ่อยครั้ง ภาพนี้ก็ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ภาพเขียนอ้างอิงถึงเรื่องราวเดิมๆอยู่บ่อยครั้ง แต่หากมองดูในภาพดีๆ จะเห็นได้ว่าทิศทางและวิธีการเขียนภาพค่อยพัฒนาและมีการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ จากภาพด้านบนจะเห็นได้ว่า มีการใช้สีสันที่สดใสเพื่อวาดภาพของหญิงสาวซึ่งแสดงออกอารมณ์ผ่านทางสีหน้าเพียงเล็กน้อย ลักษณะการเขียนภาพของหญิงสาวนี้มีที่มาจากศิลปะแบบแอฟริกันและโอเชียเนีย เรียกอีก ชื่อหนึ่งว่า บรรพศิลป์ หรือ primitiv ซึ่งเป็นแนวคิดศิลปะแบบดั้งเดิม เครื่องแต่งกายของหญิงสาวในภาพเป็นชุดที่มีสไตล์ตามแบบดินแดนตะวันออก
ปิกัสโซ เป็นหนึ่งในเพื่อนซี้ของมาติส และเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกด้วยแนวคิดการเขียนภาพแบบคิวบิสม์ (cubism) ซึ่งเน้นไปที่รูปทรงเรขาคณิต อย่างเช่นในภาพด้านบน ภาพเขียนของปิกัสโซเกิดจากการสร้างสรรค์ผลงานจากการมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เช่นเดียวกับเซซาน แต่จะมีความต่างกันตรงที่หลังจากสังเกตและพินิจวัตถุตรงหน้า ปิกัสโซจะนำมาจัดโครงสร้างใหม่ตามจินตนาการของเขาเอง ภาพเขียนจะประกอบไปด้วยลายเส้นจำนวนมากซึ่งแสดงให้เห็นถึงร่องรอยการสร้างสรรค์ผลของเขา ตัวอย่างเช่นภาพเขียนโต๊ะสองมิติซึ่งเต็มไปด้วยลายเส้นจำนวนมาก เขาพินิจพิเคราะห์วัตถุตรงหน้าอย่างละเอียด ก่อนที่จะวาดภาพเพื่อแสดงให้เห็นภาพในหลายๆมุม เพื่อให้เห็นภาพที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด
Le rêve (ความฝัน) ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในปี1912 ในเมือง Sindelsdorf และมอบให้กับศิลปินอีกคนที่ชื่อว่า Kandinsky และ Kandinsky ก็ได้มอบภาพที่ชื่อว่า Improvisation 12 ให้กับ Franz Marc องค์ประกอบภายในภาพที่เห็นด้านบนนั้นมีลายเส้นที่มีพลัง โดยเริ่มจากร่างของหญิงสาวในภาพ ท่านั่งขัดสมาธิ กอดเข่าในทรงที่ไม่ปกติสร้างลายเส้น และรูปทรงวีเชปให้กับภาพ องค์ประกอบอื่นๆรอบหญิงสาวดูราวกับเป็นภาพในความฝันของเธอ
ภาพ Les Adolescents เป็นภาพของชายหนุ่มสองคนยืนครุ่นคิด ปิกัสโซได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานนนี้จากการเดินทางไปกับคู่หูเพื่อนซี้อย่าง Fernande ที่เมือง Gosol หมู่บ้านในเทือกเขาพีเรเน่(Pyrenees) ทางฝั่ง Catalan มีสีของดินที่ออกไปทางหลือง ปิกัสโซได้นำเอาสีของดินเหลืองนั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของผลงานในช่วง "pink period" ของเขา (ตั้งแต่ปี 1904 ถึง1906) สไตล์ที่นำมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานนี้แตกต่างจากภาพอื่นๆตรงที่ใช้สีชมพู ฟ้า และเขียวน้อยลง รวมไปถึงเน้นภาพที่นำเสนอความหมานหมองและความยากจน
นอกจากคอลแล็กชั่นจัดแสดงถาวรภายในพิพิธภัณฑ์แล้ว Musée de l’Orangerie ยังมีการจัดแสดงงานศิลปะที่เกี่ยวของกับแนวคิดศิลปะในศตวรรษที่ 19 และอิมเพรสชั่นนิสต์หมุนเวียนอยู่เรื่อยๆ สำหรับใครที่ชื่นชอบงานศิลปะอยู่แล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะแวะเวียนมาสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ รวมไปถึงทำความรู้จักกับประวัติศาสตร์ศิลปะที่น่าสนใจ
ตัวอย่างของนิทรรศการในช่วงที่ทางเราไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์นั้นก็จะเป็นนิทรรศการ FRANTZ MARC / AUGUST MACK. THE ADVENTURE OF THE BLUE RIDER ซึ่งเกี่ยวของกับ expressionism หรือการแสดงพลังอารมณ์ ซึ่งมีความเกี่ยวของกับแนวคิดศิลปะที่พยายามปฎิวัติ ล้มล้างโครงสร้างทางสังคมที่มีความเชื่อมโยงกับศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของชนชั้นกลางในฝรั่งเศส
จากข้อความด้านบน หลายๆคนน่าจะพอได้เห็นภาพของลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ที่มีวิวัฒนาการคูกันมากับการแสดงออกของภาพเขียนที่เต็มไปด้วยรายละเอียดมากมาย เริ่มตั้งแต่เซซานที่สร้างสรรค์ผลงานด้วยเทคนิคเฉพาะเพื่อบรรยายจินตนาการส่วนตัวผ่านลงไปในภาพ ไปจนถึงศิลปินที่การเขียนภาพแบบดั้งเดิมเพื่ออธิบายสถานการณ์จริงและการปฏิรูปแนวคิดศิลปะ
หากต้องการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คุณสามารถเข้าไปอ่านเกร็ดความรู้ต่างๆเพื่อเตรียมตัวล่วงหน้าได้ ที่นี่
เรื่องและภาพ Obonparis Team
ที่ตั้ง : Jardin des Tuileries Place de la Concorde 75001 PARIS
การเดินทาง: เมโทรสาย 1, 8, 12 ลงที่สถานี Concorde
เวลาทำการ : วันจันทร์, วันพุธถึงวันอาทิตย์ 9:00-18:00(เปิดให้เข้ารอบสุดท้ายเวลา 17:15) / ปิดทุกวันอังคาร
ค่าใช้จ่าย : ตั๋วเที่ยวเดียวสำหรับผู้ใหญ่ 9 ยูโร, อายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่มีค่าใช้จ่าย, สัญชาติยุโรปอายุ 18-25 ปี ไม่มีค่าใช้จ่าย / ตั๋ว Musée de l'Orangerie + Musée d'Orsay ( มีอายุสามเดือนหลังจากวันซื้อ) ราคา 18 ยูโร/ Passport Musée de l'Orangerie + Fondation Claude Monet Giverny (Fondation Claude Monet ปิดตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคมถึง 1 พฤศจิกายน 2562) ราคา 18.50 ยูโร/ ทุกวันอาทิตย์แรกของเเต่ละเดือน เปิดให้เข้าชมฟรี
เว็บไซต์ : คลิ๊ก ที่นี่